แกร่งเกินหญิง “เจ๊หนึ่ง บางปู” รวยได้เพราะปณิธาน “โตไปฉันต้องรวย”

แกร่งเกินหญิง “เจ๊หนึ่ง บางปู” รวยได้เพราะปณิธาน “โตไปฉันต้องรวย”

แกร่งเกินหญิง “เจ๊หนึ่ง บางปู” รวยได้เพราะปณิธาน “โตไปฉันต้องรวย”
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ชีวิตเลือกเกิดไม่ได้แต่เลือกที่จะกำหนดมันได้แนวคิดของ “วรัชญากรณ์ อ่อนธรรม” หรือว่า “เจ๊หนึ่ง บางปู” สาวไอดอลที่โด่งดังเป็นที่รู้จักในวงการความสวยความงาม  เติบโตมาจากครอบครัวค่อนข้างจนและต้องใช้ชีวิตอยู่กับตาและยายตั้งแต่เด็ก ขณะพ่อและแม่ต้องไปทำงานต่างถิ่นเพื่อหารายได้กลับมาส่งเสียครอบครัว จึงทำให้เธอคิดและฝังใจตั้งแต่วัยเด็กพร้อมบอกตัวเองแสมอๆ “โตไปฉันต้องรวย”

อยากทราบว่าเพราะอะไรตอนเด็กๆ คุณถึงพยายามบอกตัวเองโตขึ้นจะต้องรวย

 “ภาพที่ “หนึ่ง” จำได้  ด้วยความจนจะเห็นพ่อรับจ้างเอาควายไถถางดินมันเป็นภาพติดตาที่เราเห็นความลำบากของพ่อ  แล้วถ้าวันไหนควายมันไม่สบายทำงานไม่ได้ ก็จะเห็นพ่อใช้แรงตัวเองไถๆ ดินเอง เวลาไม่มีเงินก็ต้องไปกู้หนี้ยืมสินเขา  ไปยืมญาติพี่น้อง เวลาเขามาทวงหนี้มันเป็นสถานการณ์ที่รุนแรง มันก็เลยทำให้ “หนึ่ง” ฝังความคิดตัวเองว่า  ถ้าวันหนึ่งเราโตขึ้นเราอยากรวย  คิดแบบนั้นตลอด ความลำบากครอบครัวเรามันขนาดว่าบ้านเราไม่มีเงินถึงขั้นที่ว่าเวลาชงนมให้ลูกกินแม่ต้องเอานมเพียงครึ่งช้อน ผสมน้ำตาลอีกสี่ช้อนเพื่อให้ลูกมีนมกิน วัคซีนไม่เคยได้ฉีดเพราะเราจน 

พอโตขึ้นมาอีกนิดแม่ของหนึ่งไปขายกับข้าวแบบรถกับข้าว ที่แถวชายแดนจังหวัดสระแก้ว หนึ่งกว่าจะได้ไปหาพ่อแม่แต่ละที ต้องให้ตากับยายพาไป เป็นรถกระบะเก่าๆ  ที่ต้องเอาทางมะพร้าวสดๆ ก้านยาวๆ มุงท้ายหลังรถ เพื่อให้หลานๆ นั่งไปในรถและก็ไปหาพ่อหาแม่เพราะ “หนึ่ง” ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่  จนกระทั้งแม่มีเงินก้อนหนึ่งและไปกู้มาเพิ่ม เพื่อออกรถหกล้อ มารับจ้างบรรทุกของอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมบางปู ก็เลยเป็นต้นเหตุให้เราได้มาอยู่บางปูและก็เป็นที่มาของ “เจ๊หนึ่ง” บางปู”

“ช่วงตอน ม.4 - ม.6  “หนึ่ง” ได้มาอยู่กับพ่อแม่ แต่มันก็เริ่มมีปัญหาเพราะกำลังเป็นช่วงวัยรุ่น “หนึ่ง” เข้ากับแม่ไม่ได้ ตอนนั้นรู้สึกว่าทำไมแม่บังคับไปไหนก็ไม่ได้  มันก็เลยเป็นอะไรที่ต่อต้านแม่อยู่ในใจ “หนึ่ง” ไม่เถียงแต่ “หนึ่ง” ดื้อเงียบ จนเกิดเหตุการณ์หนีออกจากบ้านไปเกือบ 6 เดือน

แต่สาเหตุที่ “หนึ่ง” หนีไปคือ “หนึ่ง” เป็นคนที่ชอบเรื่องความสวยความงาม และมีความคิดว่าอยากจะเป็นผู้จัดการสาขาอะไรประมาณนี้ ด้วยความที่อยากทำงานตรงนี้ก็เลยไปแอบสอบและก็ไปได้ที่คลินิกเสริมความงามแห่งหนึ่งที่ใฝ่ฝันอยากทำเพราะเห็นโฆษณามาตั้งแต่เด็ก แล้วก็ได้ไปลงเป็นผู้จัดการสาขาแถวนนทบุรีแล้วบอกแม่ว่าได้งานตรงนี้แต่แม่ไม่ให้ไป แต่สุดท้ายพอถึงวันที่ต้องไปทำงานก็โกหกแม่ว่าไปหาหมอมีเงินติดตัวอยู่ สองพันบาท  ก็เลยหนีไปเลยและก็คิดว่าต้องไปให้รอด”

 

            ทราบมาว่าคุณหนีออกจากบ้านด้วยเงินติดตัวสองพันคือจุดเปลี่ยนชีวิต

“พอหนีออกไปก็ไปเช่าห้องที่ไม่มีอะไรเลย  มีแค่พัดลมและก็กระเป๋าที่เอาไป  ที่นอนหมอนมุ้งไม่มี  ไม่มีแม้แต่กะละมังจะรองน้ำ จะอาบน้ำก็ต้องเปิดก๊อกแล้ววักน้ำราดตัวเอามันคือตัวเปล่าจริงๆ เจ้าของห้องให้มัดจำสองเดือนก็ไปขอเจ้าของขอจ่ายแค่นี้ก่อน เดี๋ยวหนูไปทำงานแล้วจะเอาเงินจากที่ได้จากทำงานแล้วมาให้ พอนานวันเข้าเราเริ่มไม่มีแม้แต่ข้าวจะกิน เพราะเงินที่เหลือจากมัดจำค่าห้องก็เหลือน้อยแล้วไหนจะค่าเดินทางไปทำงาน

เวลาไปทำงานที่คลินิกคุณหมอถามว่าทำไมไม่แต่งหน้าก็โกหกเข้าว่า  หน้ายังแพ้อยู่แต่จริงๆ แล้ว “หนึ่ง”  ไม่มีเงินซื้อเครื่องสำอาง  กินข้าวแค่วันละมื้อ “หนึ่ง” เฝ้ารอเงินจะออกวันไหน เพราะ “หนึ่ง”  ไปทำงานใกล้ๆ ปลายเดือนสิ้นเดือนเงินก็จะออก แต่ระบบเงินที่คลินิกไม่ได้ออกสิ้นเดือน ก็ต้องทนอดไป  ลำบากที่สุดในชีวิตคือ “หนึ่ง” ต้องกินน้ำก๊อกประทังความหิว”

“จนร่างกายอิดโรยถึงขั้นไปขอป้าแม่บ้านที่เขาดูแลหอพัก บอกเขาว่าป้าหนูหิวมากหนูไม่มีเงินเลย ซึ่งป้าเขาก็ให้ขนมปังมาหนึ่งชิ้น ตอนนั้นในทุกคำที่ “หนึ่ง” เคี่ยวเข้าไป “หนึ่ง” อวยพรว่าสิ่งที่เขาช่วยเหลือเราให้เรารอดจากความหิวตาย ขอให้ป้าเขาสุขภาพแข็งแรง  

จนความมาแตกวันต่อมา “หนึ่ง” ไปเป็นลมที่คลินิก และ “หนึ่ง” ก็ยอมสารภาพว่า “หนึ่ง” หนีออกจากบ้าน และขอหมอที่คลินิกพิสูจน์ตัวเอง “หนึ่ง” บอกว่างานนี้เป็นงานที่ “หนึ่ง” ใฝ่ฝันมาก และ “หนึ่ง” ก็ได้ความช่วยเหลือ  คุณหมอให้เงินมา สามพันบาทและก็ซื้อข้าวให้กิน  มันเป็นอะไรที่ดีใจมากคือเราไม่อดอีกแล้ว”

 

กว่าที่คุณจะประสบความสำเร็จเป็นเจ้าของธุรกิจทราบว่าเจ็บเยอะเหมือนกัน

 “ “หนึ่ง”  ได้โอกาสแล้วก็ตั้งใจทำงานทุกอย่างด้วยความมุมานะจนสร้างยอดขายให้เขาเป็นอันดับหนึ่งในภูมิภาคของภาคกลางและยอดขายเราเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ ที่นี่เราก็ได้รับความเมตตาจากคุณหมอท่านก็ดูแลเราเหมือนลูกบุญธรรม ให้อ่านหนังสือตำราแพทย์เป็นตั้งๆ ส่งให้ไปสอบด้านผู้เชี่ยวชาญผิวหนังและก็ส่งเรียนด้วย ก็เลยทำให้ “หนึ่ง”  เริ่มมีความรู้เชี่ยวชาญมากขึ้น  และคุณหมอท่านก็มีโรงงานเครื่องสำอางด้วยเขาก็เอาเข้าโรงงาน

มันก็เลยเกิดความคิดว่า  การจะทำเครื่องสำอางโดยที่เราผลิตเองมันย่อมรวยกว่าการไปรับเขามาแน่นอน ตอนนั้นคิดแบบนั้น  จนมีโอกาสได้ไปสอบเป็นหัวหน้าฝ่ายรักษาที่คลินิกแห่งหนึ่งที่ได้เป็นหัวหน้าได้เงินเดือนสูงขึ้นพอสมควร และ “หนึ่ง” เริ่มมีความรู้สึกว่ามันถึงเวลาแล้ว  ทำไมเราต้องไปรับเงินเดือนแค่หลักหมื่น คือเป็นคนที่อยากรวยมาโดยตลอด ก็เลยไปเปิดคลินิกเองโดยที่ได้ทำเลที่ตั้งไม่ค่อยดีนัก ก็เลยต้องปิดตัวลงก็สูญเงินไปหลายแสน  ขายทุกอย่างในคลินิกตัวเองเพื่อให้เป็นหนี้น้อยที่สุด โต๊ะ ตู้เตียง ไม่เหลืออะไรเลยแม้แต่ม่านทุกอย่างความรู้สึกมันคือล้มทั้งยืน”

 “ช่วงที่พยายามโละของในคลินิกตัวเองขาย ก็ไปมองเห็นครีมในตู้โชว์ “หนึ่ง” ก็เอาไปโพสต์ขายในเฟซบุ๊คมันมีคนซื้อ  วิ่งส่งของที่ไปรษณีย์วันหลายรอบ มันเริ่มสนุกมากกับการขายของทางเฟซบุ๊ค มันเริ่มจุดประกายความคิดขึ้นมาว่าเราจะขายครีม ก็หาข้อมูลถ้าจะขายครีมต้องทำยังไง

ตอนนั้นก็เริ่มจากเล็กๆ สั่งครีมมานั่งกรอกเองที่บ้านติดสติ๊กเกอร์เอง มันก็ผ่านไปได้จนเรารู้ว่าครีมที่เราสั่งเขาผลิตมันได้ไม่ตรงสเปคเกิดปัญหาต่างๆ ตามมา  แล้วคนที่เสียหายคือเรา  ขายครีมสามปีแรกยอมรับเลยว่าไม่เคยราบรื่น  แล้วเจอปัญหาเหล่านี้เกือบทุกเจ้าก็เลยมีความรู้สึกว่าทำเองขายเองดีกว่า “หนึ่ง” ก็เลยตัดสินใจไปเรียนหาความรู้เพิ่มทางด้านนี้และก็ได้ความรู้มา  ก็เลยได้มามีแบรนด์ของตัวเองจนถึงทุกวันนี้”

 

อะไรในตัวคุณที่คิดว่าชีวิตเริ่มจากศูนย์จนมาสู่ความสำเร็จได้

 “ตอนเด็กๆ ฝังใจว่าฉันจะรวยแต่พอมาถึงจุดนี้แล้วหนึ่งกลับคิดว่า “หนึ่ง” ก็ไม่ได้รวยหรอก แต่ “หนึ่ง” แค่ดูแลพ่อแม่และเป็นเสาหลักให้ครอบครัวได้ แต่ “หนึ่ง” กลับคิดว่าเรารวยแล้วเราจะหาความสุขจากตรงไหน เพราะตอนแรกจากจนแล้วมารวยยอมรับว่าปรับตัวไม่ทัน เพราะสังคมมองเรามาจากคนจนมองเราเป็นคนแปลกหน้า

แต่ “หนึ่ง” ก็ทำให้เห็นว่าเราเหมือนเดิมยังเป็น “หนึ่ง” คนเดิม การใช้ชีวิตก็ไม่เปลี่ยนไปเคยกินอยู่อย่างไงก็ทำเหมือนเดิม ไม่ใช่ว่าพอตั้งตัวได้แล้วกินใช้จ่ายหรูหราเพราะแม่สอน “หนึ่ง” มาตลอดว่าถ้าทำตัวรวยยิ่งจน ถ้าทำตัวจนยิ่งรวย และ “หนึ่ง” ก็เชื่อว่าทุกวันนี้ที่เดินมาถึงจากจุดที่จนไม่มีแม้แต่จะกินจนลืมตาอ้าปากได้คือแรงกดดันที่เราเห็นลำบาก สิ่งนี้ก็เลยเป็นแรงผลักดันบอกตัวเองต้องได้ดี”

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook