ล้างผักอย่างไร ให้กินได้ปลอดภัย ไม่เสี่ยงมะเร็ง

ล้างผักอย่างไร ให้กินได้ปลอดภัย ไม่เสี่ยงมะเร็ง

ล้างผักอย่างไร ให้กินได้ปลอดภัย ไม่เสี่ยงมะเร็ง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

อย่างที่รู้กันดีว่าในปัจจุบันนี้พืชผักส่วนใหญ่ล้วนมีสารพิษจากยาฆ่าแมลงเจือปนทั้งสิ้น ดังนั้นจึงต้องล้างผักให้สะอาดก่อนนำมาทานสดๆ หรือนำมาปรุงอาหารเสมอ เพื่อจะได้ห่างไกลจากมะเร็งร้ายนั่นเอง โดยเราก็ได้นำวิธีล้างผักอย่างปลอดภัยมาฝากกันดังนี้

ล้างผักด้วยเกลือ

เกลือมีส่วนช่วยในการลดสารพิษได้มากถึง 27-38 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งแม้ว่าจะขจัดสารพิษได้ไม่มากแต่ก็สามารถใช้วิธีนี้ได้ดีเมื่อไม่สะดวกล้างผักด้วยวิธีอื่น โดยการล้างผักด้วยเกลือให้ผสมเกลือ 1 ช้อนโต๊ะในน้ำประมาณ 4 ลิตร จากนั้นนำผักลงไปแช่ไว้ประมาณ 10 นาทีแล้วล้างน้ำสะอาดอีกครั้ง ก็สามารถนำมาทานหรือปรุงอาหารได้ทันที

ล้างผักด้วยด่างทับทิม

ด่างทับทิมเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยในการล้างผักที่ได้รับความนิยมมาอย่างยาวนาน โดยสามารถขจัดสารพิษในผักได้มากถึง 35-43 เปอร์เซ็นต์ แต่อย่างไรก็ตามการล้างผักด้วยวิธีนี้ก็ไม่ควรใช้ด่างทับทิมมากเกินไปเพราะอาจเป็นอันตรายต่อระบบทางเดินอาหารได้ โดยการล้างผักด้วยด่างทับทิมให้ผสมด่างทับทิมประมาณ 20-30 เกล็ดในน้ำ 4 ลิตร จากนั้นแช่ผักไว้ 10 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง เท่านี้ก็พร้อมทานได้เลย

ล้างผักด้วยน้ำส้มสายชู

รู้ไหมว่าการล้างผักด้วยน้ำส้มสายชูสามารถขจัดสารพิษในผักได้มากถึง 60-84 เปอร์เซ็นต์ โดยให้นำน้ำส้มสายชูที่มีความเข้มข้น 5% มาผสมกับน้ำเปล่าในอัตราส่วน 1 : 10 จากนั้นแช่ผักทิ้งไว้ประมาณ 15 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ก็สามารถนำมาทานได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องสารพิษแล้ว แต่อย่างไรก็ตามการล้างผักด้วยวิธีนี้อาจทำให้มีกลิ่นของน้ำส้มสายชูติดผักมาด้วย ซึ่งอาจทำให้รสชาติเปลี่ยนไปได้ และที่สำคัญไม่ควรล้างผักในภาชนะที่เป็นพลาสติกเด็ดขาด

ล้างผักด้วยเบกกิ้งโซดา

สำหรับใครที่ต้องการล้างผักให้เหลือสารพิษน้อยที่สุด เบกกิ้งโซดาถือเป็นตัวช่วยที่ดีที่สุดเลยทีเดียว เพราะสามารถล้างสารพิษได้มากถึง 90-95 เปอร์เซ็นต์ โดยให้นำเบกกิ้งโซดา 1 ช้อนโต๊ะ มาผสมกับน้ำอุ่นประมาณ 20 ลิตร จากนั้นนำผักไปแช่ประมาณ 15 นาทีแล้วล้างด้วยน้ำสะอาด ระวังอย่าให้หลงเหลือเบกกิ้งโซดาติดมากับผักมากเกินไป เพราะอาจทำให้ท้องเสียได้นั่นเอง

เท่านี้ก็สามารถทานผักได้อย่างสบายใจโดยไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดการสะสมจนกลายเป็นมะเร็งในอนาคต แถมยังได้ผักที่มีความกรอบอร่อยมากขึ้นอีกด้วย อย่างไรก็ตาม วิธีล้างผักแต่ละวิธีล้วนมีข้อจำกัด ดังนั้นก่อนจะล้างด้วยวิธีไหนจึงควรทำความเข้าใจให้ดีก่อนด้วย เพื่อจะได้ไม่มีปัญหาอื่นๆ ตามมานั่นเอง

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook