โสดสายเปรี้ยว เที่ยวคนเดียวแบบเช้าเย็นกลับ ณ สิงคโปร์
ไม่รู้เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตเหมือนกันค่ะ อยู่ๆรู้สึกหมดแรงบันดาลใจไปดื้อๆ พยายามทำสิ่งที่ชอบ เช่น อ่านหนังสือที่ชอบ กินของที่ชอบ และทำอะไรหลายๆอย่างที่เป็นกิจกรรมสุดโปรด แต่ก็ยังรู้สึกห่อเหี่ยว หดหู่ อย่างบอกไม่ถูก จนมีพี่ในออฟฟิศคนหนึ่งแนะนำว่า
“ทำไมจูนไม่ลองทำอะไรที่ไม่เคยทำล่ะ ลองไปเที่ยวที่แปลกๆ นอกประเทศเลยยิ่งดี เห็นอะไรใหม่ๆ บางทีอาจจะได้แรงบันดาลใจดีๆกลับมาก็ได้นะ”
เหมือนมีไฟสว่างวาบอยู่บนหัว ใช่ เราไม่เคยไปเที่ยวคนเดียวเลย โดยเ ฉพาะต่างประเทศ ไม่กล้าไป เพราะอุปสรรคด้านภาษา กลัวหลง กลัวถามทางไม่ได้ เพราะพูดอะงกฤษไม่เป็น แต่ตอน้โอเคแล้ว เรียนอังกฤษมาได้พักใหญ่ๆสื่อสารได้แล้ว อย่ากระนั้นเลย มันไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ดีกว่าอยู่เฉยๆ หายใจทิ้งแบบหดหู่ไปวันๆ ทีนี้ก็มาเลือกประเทศ ไปไหนดี คิดอยู่นาน สิงคโปร์แล้วกัน เคยฝันเล็กๆ อยากไปถ่ายรูปกับเมอไลออนมานานแล้ว ถึงเวลาต้องเจอกันซะหน่อย พอคิดได้ดังนั้น ก็จัดการจองตั๋วแบบเช้าไปเย็นกลับทันที (ที่ไม่ค้างคืน เอาตรงๆกลัวผีต่างถิ่น) คือทำอะไรปุบปับมาก และนี่คงเป็นข้อดีของคนโสด จะทำอะไรทำเลย ไม่ปรึกษาใครทั้งนั้น^^
พอถึงวันออกเดินทาง แอบตื่นเต้นเบาๆ เพราะนี่คือการเดินทางไปต่างประเทศคนเดียวครั้งแรกในชีวิต แค่ก่อนออกเดินทางความตื่นเต้นมาเยือนก็รู้สึกได้ถึงรสชาติความแปลกใหม่ของชีวิต ชักสนุกแล้วสิ!
เตรียมออกเดินทางไปตามหาแรงบันดาลใจ
พอไปถึงเอาเลยจ้า หลงวนงมโข่งอยู่ในสนามบิน หาตม.ไม่เจอจ้า ถามพนักงานละแวกนั้นก็ให้เลี้ยวซ้าย เลี้ยววา ลงล่าง อะไรก็ไม่รู้ มึนมาก ก็เดินเตร็ดเตร่ไปเรื่อยๆ จนไปเจอตำรวจสนามบิน เขาดูยิ้มแย้มแจ่มใส อัธยาศัยดีมาก เขาคงเห็นเราหน้าตาเลิ่กลั่ก เหมือนหมาโดนเจ้าของมาปล่อย เขายิ้มรับ เราก็ถามทางเขา เขาใจดีมากเดินไปส่งที่ตม. ซึ่งก็ไกลอยู่พอสมควร ระหว่างเดินทางไปเขาชวนคุยอย่างเป็นกันเอง ก็รู้มาว่า เขาเป็นคนมาเลเซีย แต่มาทำงานที่สิงคโปร์ 9 ปีแล้ว แล้วเขาก็แนะนำให้เราไปเที่ยวมาเลเซียบ้าง มีสถานที่สวยๆเยอะ เราก็เออ ออ ห่อหมกไป แต่ก็แอบคิดอยากไปจริงนะ เพราะไม่ไกลจากไทยเท่าไหร่ ไปง่าย
เมื่อถึงตม. เขาก็ถามว่าพักที่ไหน พอบอกว่าไม่พัก เดี๋ยวกลับวันนี้ค่ำๆ เขาถามต่อเลยว่า มาวันเดียว มาทำอะไร ก็บอกว่ามาเที่ยว แล้วเขาก็ถามย้ำอีก มาเที่ยววันเดียวเหรอ ก็บอกว่าใช่ ดูเขางงๆนะ แต่ก็ให้ผ่านมาแต่โดยดี
เอาล่ะ ด่านต่อไปคือ ไปหาเพื่อนที่ Downtown นัดเพื่อนสาวที่ทำงานที่สิงคโปร์กินข้าวเที่ยงด้วยกัน คือนางมาเจอได้แค่ตอนกินข้าว แล้วเดี๋ยวนางต้องกลับไปทำงานต่อ ซึ่งพอออกจากสนามบินก็ตื่นเต้นแล้ว นึกในใจ จะไปถูกป่ะว๊า ในกรุงเทพฯทางที่เคยเดินทางประจำยังหลงเลย แต่ก็เอาวะ ไม่ลองไม่รู้ ก็ไปขึ้นรถใต้ดินสายสีเขียวจากสนามบิน Changi Airport จากนั้นก็ไปเปลี่ยนสายที่สถานี Bugis ขึ้นรถใต้ดินสายสีน้ำเงินเพื่อไปสถานี Downtown ระหว่างอยู่บนรถใต้ดิน ความรู้สึกเหมือนนั่งใต้ดินในกรุงเทพฯนะ รู้สึกชิล เริ่มไม่เกร็งละ เพราะมีป้ายบอกชัดทุกสถานี
แล้วในที่สุด เราก็ได้เจอเพื่อน กินข้าวกลางวันด้วยกัน เสร็จแล้วตอนเดินขึ้นมาจากสถานที่ที่เรากินข้าวกัน เราขึ้นบันไดเลื่อนเพื่อนยืนชิดซ้าย เราก็กะจะคุยกับเพื่อนให้สะดวกเสียหน่อย ยืนตีคู่เลยจ้า จนเพื่อนต้องสะกิดเตือนว่า
“จูน คนที่นี่เวลาขึ้นบันไดเลื่อนเขาจะยืนชิดซ้ายกัน”
พอหันกลับไปมองข้างหลัง เออว่ะ เขายืนชิดซ้ายกันหมด เสร่อมาก ก็เลยรีบมูฟตัวไปยืนริมซ้าย แล้วเพื่อนก็เดินมาส่งบริเวณอ่าวมารีน่า และพูดตบท้ายว่า
“ส่งแค่นี้นะ ลองเดินดูต่อแล้วกัน ถ้าจะกลับสนามบิน นั่งแท็กซี่ไปก็ได้ แต่อย่าไปโบกตามริมทางเหมือนกทม.ล่ะ เขาไม่รับนะ ต้องไปที่จุดให้บริการแท็กซี่เท่านั้น”
ก็คิดในใจว่า ไม่นั่งแท็กซี่แน่ๆ ยิ่งชอบทำอะไรเสร่อๆอยู่ด้วย โบกผิดชีวิตเปลี่ยน อับอายขายขี้หน้ายันเหง้าอีก กลับใต้ดินนั่นแหละดีแล้ว เอาล่ะทีนี้ก็ได้ผจญภัยด้วยตัวเองแบบ 100% แล้ว เรามองหาจุดหมายของเราก่อนเลย นั่นก็คือ เมอไลออนอันเป็นที่รัก จากจุดที่เรายืนมองไปเห็นเมอไลออน ดูไม่ไกล กระหยิ่มยิ้มย่องเลยว่า แค่นี้เอง เด็กๆ ก็เดินไปเรื่อยๆ ระหว่างทางไปหาเมอไลออนก็เก็บภาพเป็นระยะๆ
ภาพแรกที่ถ่ายก่อนออกเดินไปหาเมอไลออน
กำลังเดินเล่นเพลินๆ เจอนักท่องเที่ยวชาวอินเดียขอให้ถ่ายรูปให้เขา ก็เลยให้เขาช่วยถ่ายรูปให้เราคืน เห็นไหม ไปคนเดียวก็มีภาพเต็มตัวเหมือนไปกับเพื่อนได้^^
เจอนักท่องเที่ยวสาวสวยเดินมาคู่กับแฟนหนุ่มรูปหล่อ โนสนโนแคร์ ก็เรียกแฟนสาวเขามาถ่ายรูปให้ซะงั้น^^
เดินผ่านอาคารรูปเรือ มารีน่า เบย์ แซนด์ ขอแชะภาพเป็นที่ระลึกสักหน่อย
พอขึ้นสะพานเพื่อจะเดินข้ามฝั่งไปหาเมอไลออน ก็สะดุดตากับอาคารรูปดอกบัว หรือ The Art Science Museum จนต้องขอเก็บภาพไว้เป็นที่ระลึก
จากนั้นก็เดินเลาะรอบอ่าวมาเรื่อยๆ หอบแฮ่กเหมือนหมาเหนื่อยเลยค่ะ พูดเลย ดูเหมือนไม่ไกล แต่เดินขาลาก พื้นเกิบเกือบจะหลุดออกจากตัวรองเท้า แต่ไฝว้ค่ะ มาแล้วต้องไปให้ถึง และในที่สุด...เมอไลออนที่รัก
ให้แฟนชาวบ้านถ่ายให้ เก๋ๆ^^
เอาล่ะค่ะ และต่อไปนี้จูนขอหยิบยกสิ่งที่บรรยายไว้ในเฟสบุ๊คส่วนตัว มาเขียนเผื่อว่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลายๆคนได้นะคะ จูนเขียนไว้ตอนที่ได้ถ่ายรูปกับเมอไลออนว่า
“เป็นความฝันในใจเล็กๆว่าอยากมาถ่ายรูปคู่กับเมอไลอ้อนครั้งหนึ่งในชีวิต มีหลายคนถามว่าแพลนวันนี้ไปไหนมั่ง เราตอบว่าไม่รู้ เราไปไหนก็ได้ระหว่างทาง แต่จุดหลายหลักของเราคือ เมอไลอ้อน
บางคนอ่านตรงนี้อาจจะคิดว่า แค่เนี้ยย ใครๆก็มากัน มึงก็มาได้ ทำไมเพิ่งมา แต่สังเกตมั้ยเราไม่เคยออกนอกประเทศเลยปีที่ผ่านๆมา เพราะเรากลัวไง เราพูดอังกฤษไม่ได้ ณ ตอนนั้น เรากลัวหลงทาง ถ้ามากับเพื่อนแล้วหลงก็ตายดิ เข้าร้านข้าวเพื่อนไปห้องน้ำปล่อยกุไว้คนเดียวก็แย่ดิ ก็ทำให้ไม่อยากไปไหนทั้งนั้น ปิดกั้นตัวเอง
"แต่วันนี้เราเอาชนะตัวเองได้แล้ว เราเริ่มพูดอังกฤษได้แล้ว เราสามารถเข้าร้านข้าวคนเดียว เดินเที่ยวคนเดียวในตปท.ได้ เจอมิตรภาพแรกเป็นตำรวจสนามบินเดินคุยกันไปในสนามบินเพราะกุหลงทาง นี่เป็นทริปที่สองต่อจากพม่าที่กล้าออกนอกประเทศ ไม่รู้จะพูดยังไงนะ แต่อยากบอกแค่ ฟินว่ะ กรูทำตามฝันเล็กๆของกรูได้แล้ว เมอไลอ้อนที่รัก^_^”
หลังจากฟินกับเมอไลออนก็ขอนั่งพักเหนื่อยแล้วค่อยลุยต่อ ยังมีเวลาเหลือพอสมควร แต่พอไปนางตรงไหน ก็กลายเป็นไปบังกล้องชาวบ้านชาวเมืองเขาหมด ก็หลบไปหลบมา พอหาที่นั่งได้ ก็ว่างๆเนอะ ลองถ่ายรูปด้วยตัวเองดูสักหน่อย ก็จัดเลยค่ะ ไม่รีรอ
ตั้งกล้องกับถุงที่ถือติดตัวไปด้วยระหว่างพักเหนื่อย คนเดียวก็มีรูปได้^^
พักจนได้ที่แล้วก็เตรียมเดินทางต่อ สถานที่ต่อไปที่จะไปก็คือ Haji Lane เป็น Street Art เก๋ๆ แต่! ไม่เคยไปมาก่อน ทำไงดีล่ะ กูเกิ้ลพ่อทุกสถาบัน ไปค่ะ ก็เดินตามไปเรื่อยๆ จากมารีน่า เบย์ นั่งใต้ดินไปลงสถานี Bugis ดูป้ายทางออก B ที่เขียนว่า Raffles Hospital จากนั้นก็ตั้ง GPSเลยค่ะ เดินตามทางไปเลย
ระหว่างทางจะเจอย่านๆหนึ่งที่เหมือนย่านอินเดียหน่อยๆ มีชายหนุ่มหน้าคมคล้ายฝรั่งหรือแขกเราไม่แน่ใจ ตะโกนมา เฮ้! ยู ลุค ไนซ์ นี่ก็ไปเอาความมั่นหน้ามั่นโหนกมาจากไหนไม่รู้ค่ะ ยิ้มนิดๆ แล้วตอบอย่างมั่นใจ แต้งกิ้ว!! อิอิ บางทีเราอาจมาถูกตลาด
แล้วระหว่างทางไป Haji Lane เราสังเกตถึงความสะอาดที่มากแบบมากๆของสิงคโปร์ ทำให้บ้านเมืองเขาน่ามอง สบายตา แล้วก็ นี่ค่ะ เอาวิวระหว่างทางมาฝาก
สะอาดสะอ้านสมคำร่ำลือ
เดินมาไกลพอสมควร ขาตึงเปรี๊ยะ ในที่สุดเราก็เดินทางมาถึงย่าน Haji Lane จนได้ค่ะ
ระหว่างที่เดินผ่านร้านรวงในย่าน Haji Lane มีชายหนุ่มทักว่า เฮ้ ยู อาร์ บิวตี้ฟูล นึกกระหยิ่มในใจ นี่ล่ะ ทางของกรู ห้าห้าห้า แต่ก็ทำแค่ยิ้มมุมปากนิดๆแล้วตอบ แต้งกิ้ว ทีนี้ก็เดินเล่นไปเรื่อยๆ ชมความอาร์ทของย่านนี้สักหน่อย
ผลัดกันถ่ายกับนักท่องเที่ยวสาวชาวจีนที่มาคนเดียวเหมือนกัน มิตรภาพดีๆที่น่าจดจำ :)
จากนั้นก็กะเวลากลับสนามบินโดยนั่งรถใต้ดินเข้าไปที่ Changi Airport ตอนกลับนี่กะเวลาไม่ถูก เลยออกตั้งแต่ 6 โมงเย็น ไปถึงสนามบินประมาณ 1ทุ่ม เครื่องออก 4 ทุ่มจ้า นั่งรอวนไปค่ะ แล้วพอกลับถึงไทย ตม.ไทย ซักยิบเลย เขาทำหน้างงๆ ถามว่า นี่เพิ่งไปเมื่อเช้านี่ แล้วกลับเลยเหรอ ไปทำอะไรอ่ะ พอบอกว่าไปเที่ยวค่ะ เขายังถามต่อ ช้อปปิ้งเหรอ ก็บอกว่า เปล่าค่ะ ไปถ่ายรูปเล่น คือคำตอบมันอาจดูน่าหมั่นไส้ แต่เราก็ไปถ่ายรูปเล่นจริงๆนี่ ตม.มองด้วยสายตาคมกริบ แล้วตบท้ายว่า
“ชิลล์ดีเนอะ วันหลังจะได้ทำมั่ง”
แล้วเขาก็ปล่อยตัวออกมา ก็งงๆว่าจะแปลกใจทำไมแค่ไปแบบวันเดย์ทริป - -"
และก่อนที่จะจบทริปลงไป อยากจะโชว์เมอไลออนที่ถ่ายด้วยฝีมือตัวเองอีกสักรูป และขอฝากข้อคิดว่าสักนิดนะคะ^^
ชีวิตมันสั้น อย่าคิดอย่างเดียว คิดเสร็จแล้วทำด้วย! เหมือนวันนี้ที่ได้เดินทางไปต่างแดนคนเดียว คืออยากไปหาเมอไลออนแล้วอยากเอาภาษาที่ได้ร่ำเรียนมา มาใช้ดูบ้าง แล้วลองไปแบบไม่ต้องสตริ๊กอะไรดูมั่ง ตายเอาดาบหน้า อ้อ!มีแผนเดียว มาหาเมอไลอ้อน นอกนั้นฟรีดอม ไปแต่ละที่แบบงงๆ มันชาเล้นจ์ตรงที่เราไม่รู้ว่าเราจะเจออะไรบ้าง ก็ใช้วิธีตามแมพบ้างถามคนบ้าง
แล้วก็ได้เรียนรู้ว่า ท้ายที่สุดแล้ว คนเราเวลาเข้าตาจน มันไม่มีใครให้พึ่ง มันจะไม่ปล่อยให้ตัวเองแย่หรือตายหรอก มันจะหาทางให้ตัวเองรอด ฉะนั้นอยากให้ลองหลุดจากคอมฟอทโซนเดิมๆดูบ้างสำหรับใครที่ท้อแท้ชีวิต หรือเบื่อโลก บางทีเราอาจเจออะไรดีๆมาสะกิดใจเราระหว่างทางจนมันเปลี่ยนชีวิตเราไปเลยก็ได้ หรือบางทีเราอาจพบว่าในตัวเรามีความสามารถดีๆบางอย่างที่เราทำได้โดยที่เราไม่เคยรู้มาก่อนผ่านการหลุดจากความกลัวที่เราตั้งไว้ ลองดูนะ...อย่างน้อยที่สุดก็ได้รีแล็กล่ะ
แต่ที่สุดของที่สุดคือ คุณจะฟินที่เอาชนะตัวเองสำเร็จ ชีวิตมันสั้นใช้ซะให้คุ้ม;)