ชีวิตที่มีคุณค่าของ สู่ขวัญ บูลกุล
หลายคนมองว่าเธอเป็นผู้หญิงโชคดี เพราะชีวิตของเธอสมบูรณ์แบบไปเสียทุกด้าน ทั้งภาพลักษณ์ หน้าที่การงาน และครอบครัว แต่คุณสู่ขวัญ บูลกุล กลับบอกว่า ทุกคนเป็นอย่างเธอได้หมด ในวัย 44 ปี เธอเลือกเดินบนเส้นทางชีวิตที่ไม่ซ้ำเดิม เลือกทำงานที่เธอมองว่ามี “คุณค่า” ต่อทั้งความรู้สึกของตนเอง และเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น มาติดตามมุมมองความคิดของเธอกันค่ะ
ทุกวันนี้ทำงานอะไรบ้างคะ
งานประจำคือดูแลครอบครัว ดูแลลูก นอกนั้นก็เลือกทำงานที่รู้สึกว่าสนุกกับมัน งานที่คิดว่ามีคุณค่า เมื่อก่อนเราทำทุกอย่างเพราะต้องทำมาตลอด ต้องเรียนให้ดี ต้องทำงานให้ดี ต้องเก็บเงิน พ่อสอนเสมอว่าเป็นผู้หญิงต้องเลี้ยงตัวเองให้ได้ เพราะศักดิ์ศรีของผู้หญิงเป็นเรื่องสำคัญ พออายุ 40 ก็มานั่งคิดว่า ถ้าเราตายตอนอายุ 80 ซึ่งก็ไม่ถือว่าตายเร็วนะ แปลว่าเราเดินทางมาครึ่งชีวิตแล้ว จึงถามตัวเองว่าอยากใช้ชีวิตครึ่งหลังซ้ำกับครึ่งแรกหรือเปล่า ที่สำคัญ ตอนนี้เราไม่ต้องกังวลเรื่องเงินแล้ว มีทรัพย์สินส่วนตัวที่อยู่ได้โดยไม่ต้องรบกวนใคร อันนี้ไม่เกี่ยวกับสามี ถ้าบอกว่าสามีมีเงิน นั่นแสดงว่าเรายึดติดว่าสามีต้องเป็นของเราไปชั่วชีวิต
พี่โชค (โชค บูลกุล) เป็นคนดี เป็นคนน่ารัก ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ เพียงแต่ว่าชีวิตคนเราไม่มีอะไรแน่นอน ต่อให้พี่โชคมานั่งข้างๆ ขวัญก็จะบอกแบบนี้ เราต้องอยู่ได้ด้วยตัวเองจริงๆ ขวัญไม่ได้มีเงินอะไรมากมายแต่ก็พอมีใช้จนแก่สามารถใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายได้ประมาณหนึ่ง แต่ไม่ถึงขนาดหรูหรา ฟุ่มเฟือยอย่างถึงที่สุด ทุกวันนี้อยากได้อะไรก็ยังต้องคิดก่อน
ฉะนั้น ครึ่งหลังของชีวิต เราขอใช้ชีวิตอย่างที่เราอยากใช้ จึงเลิกทำงานประจำ และขอไม่ทำอะไรซ้ำเดิม ถึงได้ประกาศว่าไม่อ่านข่าวแล้วนะ อย่ามาชวนเลย ไม่อ่านแล้ว ตอนนี้ไม่ได้คิดถึงเงินเป็นที่ตั้งแล้ว แต่อยากไปในที่ที่เรา อยากไป ทำในสิ่งที่เราเห็นคุณค่าของมัน
งานแบบไหนที่คุณขวัญมองว่าเป็นงานที่มีคุณค่าคะ
ตอนที่รับเล่นเรื่อง “รัก 7 ปี ดี 7 หน” พี่เก้ง - จิระมะลิกุล บังคับให้วิ่งต่อเนื่องให้ได้ 10 กิโล เพื่อจะถ่ายภาพยนตร์เรื่องนั้น ปกติเล่นอะไรได้หมด แต่ไม่เคยวิ่งเลย ดีใจมากที่พี่เก้งเลือกให้ไปเล่น เพราะทำให้พูดได้เต็มปากเต็มคำกับทุกคนว่า เราเป็นอะไรได้มากกว่าที่คิด ก่อนหน้านี้ไม่กล้าพูดหรอก เพราะไม่เคยทำอะไรที่เกินลิมิตของตัวเอง อย่างเรื่องวิ่ง จากคนที่ไม่เคยวิ่งเลย วิ่งแค่ 2 กิโลก็จะขาดใจตายแล้ว และคิดว่า 5 กิโล นี่คือมากที่สุดแล้ว 10 กิโลเป็นไปไม่ได้ ทั้งๆ ที่มันเป็นระยะที่ทุกคนวิ่งได้หมด ไม่ว่าจะเป็นเด็ก คนแก่ ผู้หญิง ผู้ชาย
จนวันหนึ่งเราวิ่งได้ถึง 10 กิโลเมตร ถึงรู้ว่าเราวิ่งได้มากกว่านั้นอีก ทุกอย่างอยู่ที่ใจจริงๆ ขวัญกล้าพูดเพราะเราผ่านมันมาแล้ว ได้เห็นแล้วว่าไม่มีอะไรยิ่งใหญ่ไปกว่าใจจะสู้หรือไม่สู้ ตอนพี่เก้งชวนให้มาเล่น ความมั่นใจเท่ากับศูนย์ เพราะตั้งแต่เด็กไม่เคยแสดงอะไรเลย ถึงแม้จะจบนิเทศฯก็ไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน แล้วบทก็ค่อนข้างดราม่า อย่าว่าแต่ต้องร้องไห้ต่อหน้าคนอื่น ตะโกนเสียงดังต่อหน้าคนอื่นยังไม่เคยทำเลย นี่ต้องไปยืนร้องไห้ต่อหน้ากล้อง ไม่รู้จะทำได้
หรือเปล่า กลัวมากว่าตัวเองจะทำให้คนอื่นเดือดร้อน แต่ที่ตกลงรับแสดงเพราะคิดว่าข้อความที่หนังต้องการสื่อไปยังคนดูมันดีมาก หนังต้องการบอกว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรกับชีวิต เราไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากไปต่อ มันมีทางบังคับทางเดียว คือเราต้องไปต่อ จะก้าวไปแบบกระเสือกกระสนล้มลุกคลุกคลาน เจ็บปวดอย่างไร ก็ต้องก้าวต่อไป
และอีกเรื่องที่ขวัญเห็นว่ามันมีคุณค่ามากกว่าได้เล่นภาพยนตร์หรือได้ค่าจ้าง คือมีหลายครั้งที่มีคนวิ่งมาหา บอกว่าพี่ขวัญใช่ไหมคะ หนูเริ่มวิ่งเพราะพี่นะ ขวัญไม่ได้ดีใจแค่ว่าเด็กคนหนึ่งเริ่มวิ่ง แต่มองว่าคนทุกคนที่เอาชนะตัวเองได้ จะค้นพบคำตอบหลายอย่างในชีวิต การทำงานครั้งนั้นมันไม่ใช่แค่การไปเล่นหนังอย่างเดียว แต่เรากลายเป็นแรงบันดาลใจและได้รับแรงบันดาลใจจากหนังเรื่องนี้ด้วย
เล่าเรื่องแรงบันดาลใจที่ได้รับจากการเล่น ภาพยนตร์เรื่องนี้หน่อยค่ะ
ตอนที่หนังฉายใหม่ๆ ขวัญเจอเด็กคนหนึ่ง เขาเป็นแฟนคลับเรา ขวัญไปงานไหนเขาจะมาหา มาถ่ายรูปจนจำหน้ากันได้ สักปีกว่าๆ ผ่านไป ขวัญไปงานหนึ่ง เห็นผู้หญิงคนหนึ่งเดินมา ตอนแรกก็ไม่ได้สนใจ แต่เขาเรียกเราจึงหยุดแล้วพูดว่า สวัสดีค่ะ เขาก็ยิ้ม พอขวัญจะเดินไปเขาก็พูดขึ้นว่า พี่ขวัญจำหนูไม่ได้ใช่ไหม เราจึงมองเขาอีกทีถึงจำได้ว่าเป็นเด็กคนนั้น ซึ่งเมื่อก่อนเคยตัวใหญ่มาก แต่ตอนที่เห็นนี้กลายเป็นผู้หญิงรูปร่างดี สวยเลย
เขาเข้ามากอด แล้วบอกว่า พี่ขวัญ หนูวิ่งตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ น้ำหนักลดประมาณ 20 กิโล เขาขอบคุณที่เราเป็นแรงบันดาลใจให้เขา ขวัญก็บอกว่า พี่อาจเคยเป็นแรงบันดาลใจของน้อง แต่วันนี้ น้องเป็นแรงบันดาลใจของพี่ คือเขาเป็นแรงบันดาลใจเรื่องความอดทน ความมีวินัยอย่างถึงที่สุด เมื่อย้อนกลับมามองตัวเอง บางครั้งเราก็ขี้เกียจออกกำลังกาย ขี้เกียจดูแลตัวเอง แต่พอได้เห็นเด็กคนนี้ ก็กลับมาเตือนตัวเองว่าเราจะหย่อนไม่ได้ นี่คือการทำงานที่มีคุณค่า
หนังที่รับเล่นไม่ได้แค่ทำให้คนดูหัวเราะ ร้องไห้ หรือเอาไปเมาท์ต่อ แต่มันเปลี่ยนชีวิตคนบางคนได้ เหมือนกับซีรี่ส์เรื่องใหม่ Side by Side พี่น้อง ลูกขนไก่ ที่เพิ่งเล่นไป ขวัญไม่เคยเจอ คุณบอส - นฤเบศ กูโน ซึ่งเป็นผู้กำกับมาก่อน ไม่เคยดูงานที่เขาทำด้วย แต่พอได้นั่งคุยกัน ภายในไม่ถึง 5 นาที คนแปลกหน้าสองคนนั่งมองกันแล้วร้องไห้ใส่กัน ร้องไห้แบบสะอื้นด้วย เพราะรู้สึกแบบเดียวกัน ขวัญรู้สึกสะเทือนใจสิ่งที่ได้ฟังมาก จึงรับเล่นเลยไม่ต้องกลับไปคิด ถ้าเรามีความรู้สึกร่วมขนาดนี้ก็เล่นเถอะ
หลังจากนี้วางแผนอนาคตไว้อย่างไรบ้างคะ
ไม่มีแผนในชีวิตเลยค่ะ ขวัญไม่เคยคิดเลยว่า อีก 5 ปี 10 ปีจะเป็นอย่างไร เพียงแต่ทำวันนี้ให้ดีที่สุด แล้วรอดูว่าผลของสิ่งที่ทำในวันนี้จะพาเราไปอยู่จุดไหนในอนาคต ถ้าเราคิดอย่างนี้ ชีวิตน่าสนุกและตื่นเต้นกว่าไปตั้งเป้าหมายเอาไว้
ที่ผ่านมา มันก็พาขวัญไปถึงจุดที่ไม่เคยนึกมาก่อนเสมอ อย่างมีคนมาชื่นชมเรา ชื่นชมลูกชายเรา ก็คิดว่าคงเป็นสิ่งที่เราทำมามั้ง แต่ไม่ได้ตั้งใจทำเพื่อให้เป็นอย่างนั้น อย่างนี้ แค่ตั้งใจทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ขวัญเป็นคนธรรมดามาตั้งแต่เด็ก เป็นเด็กขี้อาย ไม่มีความสามารถพิเศษอะไรเลย ธรรมดาสุดๆ ถ้าใครคิดว่าขวัญมีชีวิตที่ดี ทุกคนก็เป็นอย่างขวัญได้หมดแหละ เพราะเราเป็นเด็กธรรมดามาก
หลายคนอาจคิดว่าขวัญโชคดี แต่ขวัญก็เหมือนกับทุกคนที่มีบางอย่างและไม่มีบางอย่าง พอใจบางอย่าง ไม่พอใจ บางอย่าง ถ้าบางคนมาเป็นขวัญ อาจไม่พอใจสภาพที่ขวัญเป็นอยู่ตอนนี้ก็ได้ แต่ถ้าถามว่าขวัญโชคดีเรื่องอะไร บอกเลยว่า
โชคดีเรื่องคน ขวัญมีครอบครัวที่ดี เพื่อนที่ดี เพื่อนร่วมงานที่ดี รวมถึงคนแปลกหน้าที่ดี ที่พอได้คุยกัน ทำงานด้วย มักจบด้วยการเป็นเพื่อนที่ดี ไม่ค่อยเจอคนมาเอาเปรียบสักเท่าไร
เมื่อครู่พูดถึงลูกชาย มีวิธีเลี้ยงลูกอย่างไรคะ
ขวัญกับพี่โชคเลี้ยง ปราบ เหมือนเราคุยกับผู้ใหญ่คนหนึ่งมาตั้งแต่เด็กแล้ว ถ้าญาติพี่น้องมาเล่นกับเขาแล้วมาคุยแบบหลอกเด็ก เราก็ต้องสะกิดบอกว่า ไม่เวิร์ค (หัวเราะ) เขาไม่เชื่อหรอก ตอนนี้เขาอายุจะ 12 มันเป็นช่วงครึ่งๆ กลางๆ คือไม่ใช่เด็กแล้ว แต่ก็ยังไม่โตเต็มที่ เราก็เลี้ยงเขาตามธรรมชาติของเด็กอายุเท่านี้ ปราบเป็นคนมีความคิดเป็นของตัวเอง แต่ก็เป็นคนมีเหตุมีผล เวลาสอนลูกจะคุยกับเขาเหมือนเขาเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่ง ไม่รู้ว่าเขาเข้าใจไหม แต่คิดว่าพูดไปเถอะ วันนี้เขาอาจเข้าใจที่เราพูดแค่ 10 เปอร์เซ็นต์ แต่พอโตขึ้นเขาจะค่อยๆ เข้าใจที่เราพูดไปเอง เช่น บอกว่าใครจะทำอย่างไรก็เรื่องของเขานะลูก
สิ่งสำคัญอยู่ที่เราทำอย่างไรมากกว่า ถ้าเขาพูดคำหยาบมา เราพูดคำหยาบกลับ เราก็เท่ากับเขาเลย เขาแกล้งเราเพราะเขาเป็นเด็กเกเรก็เป็นเรื่องของเขา แต่ถ้าเราสวนกลับก็เกเรเท่ากัน ขวัญพยายามบอกลูกว่า อะไรก็ไม่สำคัญเท่าเราทำอะไร เราคิดอะไร เราพูดอะไร เพราะถ้าเราคิดไม่ดี พูดไม่ดี ทำไม่ดี เราก็จะไปอยู่ในจุดที่ไม่ดี
แล้วเขาเข้าใจไหมคะ
ขวัญไม่ได้คาดหวังว่าลูกต้องเข้าใจเดี๋ยวนี้ เราค่อยๆ ปล่อยให้เขาคิดได้เองว่าอะไรคือจุดที่พอดี ให้เขายอมรับมันด้วยตัวเอง ไม่พยายามให้เขาเข้าใจจนมีคำถามกับตัวเองเต็มไปหมดว่า ทำไมเขาต้องอดทน ทำไมต้องยอมทุกคนโดยที่เขาตอบโต้ไม่ได้ เขาเป็นเด็กผู้ชาย เมื่อก่อนใครผลักเขา เขาก็ผลักกลับ ขวัญก็บอกเขาว่า ลองคิดดู ถ้ามีเรื่องกัน ครูไม่สนใจหรอก ว่าใครเริ่มก่อน เขาเองก็ต้องถูกทำโทษ เพราะฉะนั้น ถ้าไม่อยากโดนทำโทษก็ต้องหาวิธีเลี่ยง ถ้าเจอคนนี้แล้วทะเลาะกันทุกที ก็ต้องเลี่ยงไม่เจอกัน แต่ถ้าไม่เชื่อก็เอาเลย พอมีเรื่องครูก็ต้องเรียกแม่ไปโรงเรียน แม่ก็จะเสียใจ อายด้วย คนอื่นเขาคงว่าบ้านเราสอนลูกให้ใช้ความรุนแรง แต่ก็บอกเขาว่า แต่แม่เชื่อว่าลูกไม่ใช่คนแบบนั้น ขวัญเชื่อว่าไม่มีใครสอนเขาได้ดีกว่าตัวเขาเอง ก็ไม่รู้ว่าเลี้ยงลูกถูกหรือผิด แต่เชื่อว่าเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้จะเป็นภูมิต้านทานจนกว่าเขาจะโตเป็นหนุ่ม
ไม่รู้เหมือนกันว่า พอเขา 17 เขาจะยังฟังเราอยู่ไหม พี่โชคก็บอกตลอดว่าพอเขา 15 เขาจะล็อกห้องแล้ว (หัวเราะ) แต่ขวัญเห็นบางคนก็ไม่เป็นนะ ลูกชายบางคนติดแม่ก็มี อีกเรื่องที่สอนมากคือ การเป็นคนมีมารยาท เพราะมันคือตัวตนของเราจริงๆ ว่ามีทัศนคติอย่างไร ถ้ามารยาทไม่ดีแม่ตีเลยนะ และอีกเรื่องคือ ความรับผิดชอบ สองเรื่องนี้ขวัญซีเรียสกับลูกมาก
เท่าที่เห็น คุณขวัญดูเหมือนไม่ค่อยโกรธหรือ โมโหใคร
ไม่ค่อยค่ะ คิดว่ามันเป็นไปตามประสบการณ์ชีวิต ปีนี้ขวัญจะ 44 แล้ว ผ่านเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตมาระดับหนึ่งจนรู้แล้วว่า คนอื่นเป็นอย่างไรไม่สำคัญเท่ากับว่าเราเป็นอย่างไร ใครทำไม่ดีกับเราก็เป็นเรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องของเรา อย่างถ้าใครสักคนด่าเรา นั่นคือตัวเขานะ ถ้าเราด่ากลับ เราก็ไม่ต่างกับเขา ขวัญเป็นคนนิ่งๆ ไม่ค่อยโกรธใครตั้งแต่เด็กๆ แล้ว สมัยทำงานหนักมากๆ ก็มีเครียดบ้าง เพราะเป็นคนจริงจังกับสิ่งที่ทำ เวลาทำงานแล้วเห็นบางคนไม่รับผิดชอบเต็มที่ หรือน่าจะทำได้ดีกว่านี้ เพราะความไม่รับผิดชอบนั้นทำให้ทีมลำบากก็มีอาการปรี๊ดเหมือนกัน เผอิญโวยวายไม่เป็นมาตั้งแต่เด็ก
ถามว่ามีอารมณ์โมโหไหม ก็มี โกรธไหม ก็มีนะ อารมณ์แบบอยากเอาอะไรเขวี้ยง ก็เคยมี เพียงแต่รู้สึกอยู่ข้างใน ไม่ได้แสดงออกมา เป็นคนโกรธแล้วตะโกนไม่เป็น แต่ถ้าโกรธมากๆ ก็จะรู้ตัวว่า โห โกรธเบอร์นี้เลยนะ
เคยทุกข์บ้างไหมคะ
ทุกคนคงต้องมีทุกข์กันทั้งนั้น ถ้าใช้มาตรฐานขวัญเอง ทุกข์อย่างเดียวที่มีคือลูก เพราะเป็นเรื่องเดียวที่ยังยึดติดอยู่ ขวัญเป็นคนไม่ค่อยสนใจเรื่องชื่อเสียง หรือการมีธุรกิจ มีเงินทอง กลับรู้สึกว่าเป็นภาระด้วยซ้ำ ขวัญเห็นเพื่อนมากมาย
มีบริษัท มีเงินทองแล้วมากมาย อยากเลิกทำงาน แต่เลิกไม่ได้เพราะมีลูกน้องที่ต้องดูแล ขวัญคิดว่าภาระยิ่งเยอะก็ยิ่งทุกข์
ทราบว่าเคยปฏิบัติธรรม ไปปฎิบัติธรรมครั้งแรกที่ไหนคะ
ที่บ้าน พี่หน่อง - อรุโณชา ภานุพันธุ์ ที่เขาใหญ่ ซึ่งพี่หน่องจัดเป็นประจำ ตอนนั้น ยุ้ย - อรอุมา มาลีนนท์ ชวนไป จริงๆ อยากไปมานานแล้ว การไปปฏิบัติธรรมในฐานะพุทธศาสนิกชนก็ทำให้เราเข้าใจว่า สมาธิ เดินจงกรม วิปัสสนาคืออะไร เป็นช่วงเวลาที่ได้นิ่ง ได้สงบ ซึ่งก็ชอบยังคิดว่าถ้าได้ไปปฏิบัติแบบนี้ปีละครั้งก็คงดี พยายามหาเวลาไป แต่ตอนนี้เวลายังไม่ลงตัวเท่าไร อย่างที่ทุกคนทราบ การปฏิบัติไม่จำเป็นต้องเข้าวัด แต่ทำได้ทุกๆ วัน ปกติขวัญสวดมนต์ก่อนนอนทุกวัน ถ้าวันไหนง่วงมากหรือพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า ก็ใช้วิธีกราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ กราบพระพุทธคือการระลึก ถึงพระพุทธเจ้า กราบพระธรรมเพื่อตั้งใจว่าจะทำตามหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าให้ได้มากที่สุด กราบพระสงฆ์ ก็จะคิดถึงพระสงฆ์ที่น่าเคารพ รวมถึงบุคคลที่น่าเคารพด้วย ซึ่งเราขอมองเป็นตัวอย่างในการใช้ชีวิต
ทุกครั้งที่กราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ขวัญจะคิดแบบนี้ และอธิษฐานว่า สิ่งใดก็ตามที่ได้คิด ได้พูด ได้ทำไป อันเนื่องมาจากคำสอน ของพระพุทธเจ้า บุญกุศลนั้นขอถวายเป็นพุทธบูชา ขวัญเชื่อว่า ตราบใดที่เรามีธรรมะอยู่ในใจ ไม่ว่าอยู่ตรงไหนก็สามารถปฏิบัติได้หมด