กลิ่นบำบัดกับคุณแม่ตั้งครรภ์

กลิ่นบำบัดกับคุณแม่ตั้งครรภ์

กลิ่นบำบัดกับคุณแม่ตั้งครรภ์
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

 

การใช้‘กลิ่นบำบัด'
ปัจจุบันน้ำมันหอมระเหยที่สกัดกลิ่นมาจากดอก ใบ หรือผลของสมุนไพรและพืช มีให้เลือกใช้หลายกลิ่นซึ่งแต่ละกลิ่นจะให้ผลในการบำบัดที่แตกต่างกันไป สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ที่ชอบกลิ่นหอมๆ ของธรรมชาติก็ต้องระวังในการเลือกใช้น้ำมันหอมระเหยเพราะบางกลิ่นอาจเป็นอันตรายต่อคุณแม่หรือลูกได้ ดังนั้น ก่อนเลือกใช้น้ำมันหอมระเหยจึงต้องปรึกษาแพทย์ก่อน ข้อควรระวังในการใช้กลิ่นบำบัดคือห้ามใช้ในระหว่าง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ เพราะเป็นช่วงที่ทารกกำลังสร้างตัวซึ่งน้ำมันหอมระเหยหลายชนิดมีกลิ่นฉุนแรงและบางชนิดมีฤทธิ์เป็นกรดอาจไปกระตุ้นให้เกิดอันตรายต่อลูกในท้องได้ และหลังจาก 3 เดือนไปแล้ว เพื่อความปลอดภัยก็ควรดูด้วยว่ากลิ่นใดสามารถใช้ได้บ้างในช่วงอายุครรภ์นั้น


ทั้งนี้ น้ำมันหอมระเหยจากธรรมชาติมักมีกลิ่นและการออกฤทธิ์ที่ค่อนข้างเข้มข้น เมื่อต้องการใช้บำบัดโดยการสูดดมหรือถูนวดตามร่างกายจึงควรใช้ในปริมาณที่เหมาะสมไม่มากเกินไปและทำให้เจือจางก่อนเนื่องจากน้ำมันหลายชนิดอาจทำให้ระคายเคืองผิวหนังโดยเฉพาะในทารกแรกเกิดที่ไม่ควรใช้น้ำมันหอมระเหย(แม้จะเจือจางแล้ว)เพราะจะทำให้นัยน์ตาและผิวของทารกระคายเคืองได้


กลิ่นไหนใช้ได้บ้าง?
น้ำมันหอมระเหยที่สามารถใช้ได้ในระหว่างตั้งครรภ์นั้นมักใช้เพื่อบรรเทาอาการต่างๆ ในช่วงตั้งครรภ์ ก่อนจะเลือกใช้กลิ่นใดควรศึกษาสรรพคุณและทดสอบว่าแพ้น้ำมันหอมระเหยชนิดนั้นหรือไม่ เพราะร่างกายของแต่ละคนมีการตอบสนองต่อสารเคมีที่แตกต่างกัน

กลิ่นมะกรูด มะนาว ส้ม จะช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้และช่วยเพิ่มชีวิตชีวาได้ถ้าใช้นวดจะทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตดีขึ้น// กลิ่นลาเวนเดอร์ ลดอาการปวดศีรษะทำให้สงบและผ่อนคลายถ้าใช้นวดจะช่วยให้นอนหลับสบายและผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่ทำงานหนัก // กลิ่นไม้แก่นจันทน์ ช่วยผ่อนคลายจิตใจให้สงบ ให้ความชุ่มชื้นต่อผิวหนัง // กลิ่นทีทรี (tea tree) ฆ่าเชื้อโรค เชื้อรา รักษาแผลติดเชื้อ (เริม) // กลิ่นยูคาลิปตัส หยดบนผ้าหรือสำลีเพื่อสูดดมไอแก้อาการหวัดหรือแพ้อากาศได้ (มักพบในยาดม)และยังช่วยฆ่าเชื้อโรค ลดการบวมของเยื่อจมูก // กลิ่นดอกมะลิ ช่วยทำให้จิตใจผ่อนคลายตื่นตัวไม่หดหู่เศร้าหมอง และลดอาการเต้านมคัดในคุณแม่หลังคลอด

น้ำมันหอมระเหยที่คุณแม่ ควรหลีกเลี่ยง หรือระมัดระวังในการใช้ มีดังนี้

กลิ่นโหระพา (Basil Oil) ห้ามใช้ในหญิงมีครรภ์ให้นมบุตรและผู้ป่วยโรคลมชัก เพราะมีฤทธิ์ในการกระตุ้นให้เกิดการอักเสบและระคายเคืองต่อผิวหนังได้ง่าย // กลิ่นคาโมไมล์ ถึงแม้จะช่วยลดการอักเสบ คลายเครียด และบรรเทาอาการปวดก่อนประจำเดือนหรือในวัยใกล้หมดประจำเดือนได้ แต่ก็สามารถทำให้ผิวหนังอักเสบได้ง่าย รวมถึงห้ามใช้ในช่วงตั้งครรภ์ 3 เดือนแรก //กลิ่นโรสแมรี่ช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด แต่ห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์ 3 เดือนแรก ผู้ที่เป็นความดันสูงหรือลมชัก และระมัดระวังการระคายเคืองต่อผิวหนัง


--------------------------------------------------------------------------------
น้ำมันหอมระเหยใช้อย่างไร?
การใช้น้ำมันหอมระเหยต้องใช้ในระดับความเข้มข้นต่ำและห้ามใช้โดยตรงต้องทำให้เจือจางก่อนซึ่งการใช้น้ำมันหอมระเหยสามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้
- ไม่ควรให้น้ำมันหอมระเหยสัมผัสกับผิวโดยตรงเพราะจะทำให้แสบร้อนได้ ควรทำให้เจือจางก่อนโดยผสมกับน้ำมันชนิดอื่น เช่น น้ำมันพื้นฐาน (Carrier Oil) น้ำมันเมล็ดทานตะวัน น้ำมันอัลมอนด์ เบบี้ออยล์ เป็นต้น
- ใช้ผสมน้ำอาบโดยหยดน้ำมันหอมระเหยลงบนผ้าหรือฟองน้ำถูตัวที่เปียกน้ำหมาดๆ แล้วถูตัวหรือผสมในอ่างอาบน้ำโดยหญิงตั้งครรภ์ควรผสมน้ำมันหอมระเหยไม่เกิน 4 หยดลงในอ่างน้ำอุ่นไว้ แช่ประมาณ 10-15 นาที ระหว่างนี้พยายามผ่อนคลายทั้งร่างกายและใจให้มากที่สุด
- การนวดน้ำมันหอมระเหยควรทำโดยผู้เชี่ยวชาญ โดยหยดลงบนฝ่ามือ 2-3 หยด ถูฝ่ามือไปมาเพื่อให้น้ำมันติดมือทั้งสองข้างแล้วค่อยลงมือนวด หรือผสมน้ำมัน หอมระเหย 3-4 หยดลงในน้ำอุ่นหรือน้ำเย็น แล้วใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กชุบน้ำบิดหมาดๆ ประคบบริเวณที่ปวด เช่น บริเวณหลัง เป็นต้น
- การสูดดมกลิ่น ต้องนำน้ำมันหอมระเหยมาผสมให้เจือจางโดยหยดลงบนกระดาษทิชชู ผ้าเช็ดหน้าหรือสำลี 2-3 หยด หรือจุดในตะเกียง
- หากไอระเหยจากน้ำมันเข้าตาหรือรู้สึกแสบตา ให้ล้างตาด้วยน้ำอุ่น และล้างมือ เล็บให้สะอาดหลังใช้ทุกครั้งเพื่อไม่ให้ผิวหนังระคายเคืองจากน้ำมันที่ตกค้างอยู่

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook