มาเติมความชุ่มชื้นให้แก่ผิวของสาวๆ กันเถอะ !!
สวัสดีครับวันนี้พีทขอมาเขียนเรื่องของการมาเติมน้ำให้กับผิวกันบ้างนะครับ ซึ่งหลายๆ คนอาจมีปัญหาเรื่องของผิวที่แห้งกร้านขาดความชุ่มชื้นแก่ผิว , หลายๆ คนที่หน้าค่อนข้างมันเลยคิดว่าผิวคงมีความชุ่มชื้นเพียงพอแล้วหล่ะ หรือ หลายๆ คนคิดว่าผิวหน้าของชั้นคงไม่จำเป็นต้องเติมเต็มความชุ่มชื้นอีกต่อไป เราไปดูกันดีกว่าครับว่าผิวแต่ชนิดจะบอกเจ้าของอย่างไรว่า "ผิวของคุณขาดความชุ่มชื้น"
ผิวแห้ง : เวลาผิวของคุณต้องการความชุ่มชื้น อาจจะบอกด้วยการลอกเป็นขุย หรือเกิดการแห้งกร้าน ซึ่งปรกติคนที่มีผิวค่อนข้างไปทางแห้งนั้นมักจะหามอยซ์เจอร์ไร
ผิวมัน ผิวผสม : หลายๆ คนอาจคิดว่าผิวชั้นมันอยู่แล้วคงไม่ต้องเติมความชุ่มชื้นแล้วล่ะ หารู้ไม่ว่า ผิวของคุณกำลังบอกคุณว่าผิวคุณกำลังขาดความชุ่มชื้นอยู่ เนื่องจากผิวขาดความชุ่มชื้นทำไมผิวของเราต้องผลิตน้ำมันออกมามากขึ้นเพื่อทำให้ผิวของเราเกิดความชุ่มชื้นนั่นเอง แถมยิ่งคุณนำกระดาษซับมันซับมากเท่าไหร่ผิวของคุณก็จะมันมากยิ่งขึ้นเพราะผิวของคุณบ่งบอกว่ากำลังความชุ่มชื้นอยู่นั่นเอง
หลายๆ คนอาจคิดว่ามันก็แค่ความชุ่มชื่นจะเอาอะไรกันนักกันหนา แต่หารู้ไม่ว่ามันคือการปรับความสมดุลเพื่อสุขภาพผิวของคุณอย่างนึงเลยล่ะ หากผิวของคุณมีความสมดุลมากพอปัญหาหลายๆ อย่างไม่ว่าจะเป็น " ริ้วรอย , หน้าแห้ง , ผิวลอก , หน้ามัน , เป็นสิว" ก็จะค่อยๆ ดีขึ้น ผมขอไม่การันตีว่ามันจะดีขึ้น 100 % แต่ผมขอท้าพิสูจน์ได้เลยว่าผิวคุณจะดูสวย และ เปล่งประกายจากภายในไม่ว่าคุณว่าสีผิวอย่างไรก็ตาม ด้วยความพยายามของคุณนั่นเอง งั้นเรามาดูกันเลยดีกว่าว่า มีวิธีไหนบ้างในการเติมเต็มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวของคุณ มาดูเพื่อนำไปปรับและประยุกต์กันตามวิธีของแต่ละคนได้เลยครับ
วิธีที่ 1 : ใช้น้ำแร่ฉีดผิว
เพื่อนๆ หลายๆ คนอาจได้ลองวิธีนี้กันแล้วบ้าง ซึ่งมันเป็นวิธีง่ายที่สุดแถมทำแล้วรู้สึกสดชื่นอีกด้วยเหมือนเป็นการเติมความชุ่มชื้นให้แก่ผิวไปในตัวซึ่งบอกก่อนว่าคุณสามารถใช้น้ำแร่ไม่ว่าจะเป็นของยี่ห้อ Evian , Oguma , Reskin , Vichy ฯลฯ โดยหลักการของมันบอกก่อนว่าวิธีนี้ไม่ค่อยได้ความชุ่มชื้นมากเท่าที่ควรแต่มันก็สามารถปรับสภาพผิวให้สมดุลได้ชั่วขณะใช้สำหรับการแต่งหน้าเพื่อเซ็ทเมคอัพ หรือ เติมน้ำให้ความผิวให้ผิวชุ่มชื้นระหว่างวันเพื่อความสดชื่นนั่นเอง
ในรูปจะเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงว่าผิวมีการเติมน้ำให้แก่ผิวซึ่งความสามารถซึมเข้าสู่ผิวนั้นขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีของแต่ละยี่ห้อ แต่ละผลิตภัณฑ์นะครับ บางแบรนด์อาจทำได้เพียงเคลือบผิวอยู่แต่ภายนอก แอบไหลบ้าง หรือบ้างแบรนด์สามารถซึมเข้าสู่ผิวได้ทันทีเนื่องจากอณูของน้ำแร่ค่อนข้างละเอียดนั่นเองครับ
ข้อดี : สามารถเติมความชุ่มชื้นระหว่างวันได้ สะดวกในการใช้ และสามารถใช้ได้บ่อยเท่าที่ต้องการ ส่วนตัวขอกระซิบเบาๆ ว่ายิ่งแบรนด์ไหนทำให้ละอองเล็กได้มากเท่าไหร่เราจะรู้สึกว่ามันซึมเข้าสู่ผิว และรู้สึกได้เลยว่าผิวของเราดูอิ่มน้ำ และดูฟูเปล่งประกายครับ
ข้อเสีย : การที่มันใช้ง่ายเกินไปอาจจะหมดเร็วจนเกินไป และเกิดความสิ้นเปลืองตามมาซึ่งตรงนี้แล้วแต่การใช้งานของบุคคล และส่วนตัวถึงแม้ว่ามันจะเติมความชุ่มชื้นระหว่างวันได้แต่วิธีนี้นั้นยังไม่สามารถกักเก็บความชุ่มชื้นได้ยาวนานเท่าที่ควรเนื่องจากน้ำแร่ที่ฉีดนั้นสามารถระเหยไปในอากาศระหว่างวันได้นั่นเอง
วิธีที่ 2 : เติมความชุ่มชื้นด้วย Aloe Vera Gel
หลายๆ คนคงชอบวิธีนี้แน่ๆ เนื่องจาก AloeVera Gel หรือ เจลว่านหางจระเข้นั้นนอกจากจะเป็นเจลที่สามารถทำได้หลายๆ อย่างตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าแล้ว มันยังสามารถเติมความชุ่มชื้นให้แก่ผิว พร้อมความสามารถช่วยลดการอักเสบบวมแดงของว่านหางจระเข้นั้นทำให้มันน่าสนใจมากยิ่งขึ้น ซึ่งผมก็ชอบเหมือนกันสำหรับวิธีนี้เพราะเวลาทาแล้วหลับจะรู้สึกได้ถึงความเย็นสบายผิว และรู้สึกว่ามันคือการบำบัดด้วยธรรมชาติอย่างหนึ่ง แถมยังมีหลายแบบ หลายราคาอีกด้วยครับ
เนื่องจากเนื้อผลิตภัณฑ์เป็นรูปแบบเจลทำให้ระเหยได้ง่าย ไม่เหนอะหนะสามารถใช้ร่วมประยุกต์กับครีมอื่นๆ ของคุณที่ใช้อยู่ได้อีกด้วย
ข้อดี : ส่วนใหญ่เป็นเนื้อเจลซึมง่าย ไม่เหนอะหนะ เป็นเจลที่นอกจากให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวแล้ว ยังเป็นเจลสารพัดประโยชน์ใช้ได้ตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าเลยจ้า ส่วนใหญ่ราคาไม่แพง และ หาซื้อได้ง่ายตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วไป
ข้อเสีย : ส่วนใหญ่มีน้ำหอมเพื่อดับกลิ่นของว่านหางจระเข้และมีแอลกอฮอลล์ รวมถึงสารละลายอื่นๆ อาจต้องมีการทดสอบการระคายเคืองผิวก่อนใช้งานเพื่อความปลอดภัย ของแต่ละบุคคลครับ