“ความดันโลหิตสูง” โรคยอดนิยมที่ควรระวัง!

โรคความดันโลหิตสูงนั้นถือว่าเป็นหนึ่งในโรคที่พบว่าคนปัจจุบันเป็นกันมาก และที่สำคัญคือคนส่วนใหญ่ก็ไม่รู้ตัวว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูง

โดยหากปล่อยไปนาน ๆ ก็อาจนำมาซึ่งโรคร้ายอื่น ๆ อีกมากมายจนยากที่จะรักษาได้ ดังนั้นเราจึงควรที่จะป้องกันไม่ให้เกิดโรคนี้ตั้งแตต่เนิ่นๆ จะดีกว่าค่ะ

สาเหตุของโรคความดันโลหิตสูง

ปกติแล้ว เราทุกคนจะมีความดันโลหิตที่คอยผลักดันเลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย ซึ่งโดยปกติแล้วหัวใจของคนเราจะเต้นประมาณ 60-80 ครั้ง ความดันก็จะเพิ่มในขณะที่หัวใจบีบตัวและจะลดลงในขณะที่หัวใจคลายตัว ซึ่งองค์การอนามัยโลกได้กำหนดไว้ว่าหากใครที่มีความดันโลหิตสูง 140/90 มิลลิเมตรปรอท ก็จะถือว่าเป็นผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ขึ้นอยู่กับสิ่งต่าง ๆ ไม่ใช่เฉพาะร่างกายอย่างเดียว เช่น หากเราวัดความดันโลหิตในท่านอน ก็จะพบว่ามีค่าสูงกว่าท่ายืน  และหากวัดในช่วงเวลาที่มีจิตใจเศร้าหมอง หรือมีอารมณ์เครียด ก็จะพบว่าระดับความดันเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ดังนั้นการวัดความดันเลือดที่แน่นอนที่สุด จะต้องวัดในขณะที่ใจของเราสงบและโดยส่วนใหญ่จะวัดในท่ายืนหรือท่านั่งมากกว่า

อาการของโรค

ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงมักจะไม่ปรากฏอาการใด ๆ ซึ่งอาจพบอาการปวดศีรษะ มึนงง เวียนศีรษะ แน่นหน้าอกหรือนอนไม่หลับ ซึ่งเป็นอาการเล็กๆ น้อยๆ จึงทำให้บางคนไม่เอะใจและไม่ได้รับการรักษาควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ถ้าหากไม่ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องก็อาจจะเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงตามมาได้ เช่น ภาวะหัวใจวายที่เกิดจากการทำงานของหัวใจที่หนักขึ้น จนทำให้ผนังหัวใจหนาตัวเกิดหัวใจโตและหัวใจวายตามมา ซึ่งโรคนี้ก็เป็นอีกโรคหนึ่งที่ทำให้คนเสียชีวิตไม่น้อยไปกว่าโรคเบาหวานเลยล่ะ

ป้องกันได้อย่างไร

หากถามว่าจะป้องกันโรคนี้ได้อย่างไรนั้น ตามจริงแล้วก็ไม่ยากเลย เพียงแค่หมั่นออกกำลังกายบ่อยๆ กินอาหารที่มีประโยชน์ งดเว้นพวกน้ำตาล ไขมันและอาหารที่มีแคลอรีสูง ที่สำคัญห้ามเครียดเป็นอันขาด แค่นี้ก็จะป้องกันการเกิดโรคความดันสูงได้แล้วล่ะ

ความดันสูงจัดว่าเป็นโรคร้ายแรงโรคหนึ่งเลยล่ะ ซึ่งส่วนใหญ่จะเกิดกับผู้สูงอายุเสียมากกว่า ดังนั้นเพื่อป้องกันโรคเหล่านี้ ควรดูแลเรื่องของอาหารการกินและหมั่นออกกำลังกายบ่อยๆ ตั้งแต่เนิ่นๆ

แต่หากใครที่เป็นโรคความดันอยู่แล้วก็ต้องดูแลตัวเองให้มากขึ้น ไปตรวจความดันบ่อยๆ เพื่อดูว่าลดลงบ้างหรือยัง และทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ก็จะทำให้อาการดีขึ้นและลดความเสี่ยงต่ออาการแทรกซ้อนไปได้มากเลยล่ะ