เตรียมตัวให้พร้อม รับมือ กับ(โรค)หน้าฝน
เตรียมตัวให้พร้อม รับมือ กับ(โรค)หน้าฝน
ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง
ในช่วงรอบเดือนที่ผ่านมาสภาพอากาศของบ้านเรา ต้องเจอกับสายฝนที่โปรยปรายหนักเกือบทั่วทุกที่ของประเทศ ทำให้ผู้คนที่ใช้ชีวิตประจำวันต้องปรับตัวในการทำกิจวัตรประจำวันให้สอดคล้องเข้ากับสภาพดินฟ้าอากาศแบบนี้
การดูแลสุขภาพในช่วงหน้าฝนของแต่ละคนจึงมีความสำคัญ เนื่องจากฤดูมรสุมแบบนี้ไม่ได้มีแค่สายฝนที่เทกระหน่ำลงมาเพียงอย่างเดียว แต่บรรดาสารพัดโรคชนิดต่างๆ ก็อาศัยในช่วงฤดูนี้ออกมาระบาดสู่คนในสังคมเช่นกัน ซึ่งสอดคล้องกับกระทรวงสาธารณสุขที่ได้ประกาศเตือนให้ เดือน มิ.ย.-ส.ค.นี้ เป็นช่วง 90 วันอันตรายและให้สาธารณสุขจังหวัดและโรงพยาบาลทุกแห่งเฝ้าระวังเป็นพิเศษ โดยให้แพทย์ตรวจคัดกรองผู้ป่วยอย่างละเอียด โดยโรคที่ต้องระวังเป็นพิเศษ แบ่งได้เป็น 5 กลุ่มรวม 15 โรคได้แก่
1. กลุ่มโรคติดต่อของระบบทางเดินอาหาร ที่พบบ่อย ได้แก่ โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน บิด ไทฟอยด์ อาหารเป็นพิษ ตับอักเสบ สาเหตุเกิดจากกินอาหารดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อโรคหรือกินอาหารสุกๆ ดิบๆ
2.กลุ่มโรคติดเชื้อผ่านทางบาดแผลหรือเยื่อบุผิวหนัง โดยโรคที่พบบ่อยคือ โรคเลปโตสไปโรซิส หรือ ไข้ฉี่หนู อาการเด่น คือ ไข้สูงเฉียบพลัน ปวดศีรษะ มักปวดกล้ามเนื้อบริเวณน่องและโคนขาอย่างรุนแรงและตาแดง
3. กลุ่มโรคระบบทางเดินหายใจ ที่พบบ่อยได้แก่ โรคหวัด ไข้หวัดใหญ่ คออักเสบ หลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบหรือปอดบวม อาการเริ่มจากไข้ ไอ หายใจเร็ว หรือหอบเหนื่อย
4. กลุ่มโรคติดต่อที่เกิดจากยุง ที่สำคัญ 3 โรค คือ ไข้เลือดออก มียุงลายเป็นพาหนะนำโรค ซึ่งกว่าร้อยละ 80 เป็นยุงลายที่อยู่ในบ้าน ไข้สมองอักเสบเจอี มียุงรำคาญ มักแพร่พันธุ์ในแหล่งน้ำตามทุ่งนาเป็นตัวนำโรคและโรคมาลาเรียน มียุงก้นป่องที่อยู่ในป่า เป็นพาหนะนำโรค ทั้ง 3 โรคนี้ อาการเริ่มจากมีไข้สูง ปวดศรีษะมาก คลื่นไส้อาเจียน โดยเฉพาะโรคไข้สมองอักเสบ อาจทำให้พิการภายหลังได้และ
5.โรคเยื่อบุตาอักเสบหรือโรคตาแดง ซึ่งเกิดจากเชื่อไวรัสที่อยู่ในน้ำสกปรกกระเด็นเข้าตา
ขณะเดียวกัน ในช่วงหน้าฝนต้องระวังอีก 2 เรื่อง คือ ปัญหาน้ำกัดเท้าที่เกิดจากเชื้อรา สาเหตุเกิดจากการแช่น้ำสกปรกนานๆ และอันตรายจากสัตว์มีพิษ เช่น งู ตะขาบ แมลงป่อง ที่หนีน้ำมาอาศัยในบริเวณบ้าน
นอกจากจะดูแลในเรื่องสุขภาพ แล้ว หน้าฝนแบบนี้ ปัญหาหนึ่งที่น่าห่วงคือ เรื่องอุบัติเหตุบนท้องถนน เพราะเป็นที่เข้าใจในกลุ่มผู้ใช้รถอยู่แล้วว่า ถ้าฝนตกโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุก็มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเนื่องจากถนนที่ลื่นและทัศนวิสัยในการมองเห็นขณะขับรถก็ไม่ชัดเจน ดังนั้น การเพิ่มความระมัดระวังในการใช้รถก็มีส่วนช่วยให้การเดินทางปลอดภัยมากยิ่งขึ้น และควรตรวจเช็คหรือเตรียมสภาพความพร้อมของรถที่จะใช้ทุกส่วนไม่ว่าจะเป็น สัญญาณไฟต่างๆ ที่ปัดน้ำฝน ควรตรวจว่าพร้อมใช้งานหรือไม่ รวมถึงเรื่องของระบบเบรคที่ควรเช็คให้สามารถใช้งานได้ดีในสภาพถนนเปียกลื่น ในส่วนของยางรถ ก็ต้องดูว่าสภาพยางยังพร้อมใช้งาน โดยการสังเกตที่ดอกยางว่ายังละเอียดอยู่หรือไม่ นอกจากนั้นการเติมลมยางให้มีแรงดันลมมากกว่าปกติ 2-3 ปอนด์/ตารางนิ้ว เพื่อให้หน้ายางแข็ง ซึ่งจะช่วยให้ยางมีกำลังในการรีดน้ำดียิ่งขึ้น
ในเรื่องของการขับรถในขณะฝนตก อันดับแรกเลยคือการใช้ความเร็วที่ไม่เร็วมากคือไม่ควรเกิน60 กม./ชม. เพราะหากใช้ความเร็วมากโอกาสที่รถจะไถลออกถนนเป็นไปได้สูง เนื่องจากน้ำฝนที่ตกลงมาจะชะล้างคราบดินและฝุ่นละอองที่ติดอยู่บนพื้นถนนซึ่งมีลักษณะคล้ายการละเลงโคลน และถ้าหากใช้ความเร็วสูงก็อาจทำให้รถไถลจนเกิดอุบัติเหตุได้
นอกจากนั้นการขับรถก็ไม่ควรขับรถชิดคันหน้ามากเกินไป เนื่องจากสภาพถนนที่เปียกลื่น ทำให้ต้องใช้ระยะทางในการหยุดรถเพิ่มขึ้น ผู้ขับขี่ควรเว้นระยะห่างจากรถคันหน้ามากกว่าการขับขี่ในช่วงปกติ 10-15 เมตร เพื่อให้สามารถหยุดรถได้ทัน
หน้าฝนในปีนี้ถึงแม้ฝนจะตกหนักมากเพียงใด แต่หากเราดูแลสุขภาพอนามัยของเราให้แข็งแรงอยู่เสมอ เช่นการออกกำลังกายให้ร่างกายอบอุ่น พักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่สะอาด เพียงแค่นี้เราก็สามารถใช้ชีวิตประจำวันในช่วงที่ฝนเทลงมาได้อย่างมีความสุข โดยที่โรคร้ายต่างๆ ไม่กล้าอย่างกรายเข้ามา
ที่มา: คมสัน ไชยองค์การ Team content www.thaihealth.or.th