แม่ท้องเสี่ยงครรภ์เป็นพิษ ใช้ยาแก้ปวดอย่างไรไม่ให้อันตราย?!

แม่ท้องเสี่ยงครรภ์เป็นพิษ ใช้ยาแก้ปวดอย่างไรไม่ให้อันตราย?!

แม่ท้องเสี่ยงครรภ์เป็นพิษ ใช้ยาแก้ปวดอย่างไรไม่ให้อันตราย?!
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

การใช้ยาแก้ปวดไม่ว่าจะเป็นชนิดใดก็ตาม เราอาจสามารถใช้ได้หากร่างกายยังคงปกติและมีสุขภาพแข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัวใดๆ ให้ต้องกังวล แต่ยกเว้นคุณแม่ตั้งครรภ์ หากมีอาการเจ็บปวด เช่น อาการปวดศีรษะ หากต้องการใช้ยาแก้ปวดบางครั้งก็ต้องได้รับการใช้ยาภายใต้คำสั่งแพทย์เช่นกัน

ยิ่งกับคุณแม่ที่มีภาวะครรภ์เป็นพิษด้วยแล้ว ร่างกายเสี่ยงสูงอย่างมากทีเดียวหากใช้ยาในแบบผิดๆ ก็จะยิ่งส่งผลให้อาการครรภ์เป็นพิษกำเริบหนักถึงขั้นวิกฤตรุนแรงได้ วันนี้เราจึงจะมาให้คำแนะนำในการใข้ยาแก้ปวดกับแม่ท้องที่เสี่ยงครรภ์เป็นพิษ ใช้อย่างไรให้ถูกต้องปลอดภัย มาดูกันค่ะ

แม่ท้องเสี่ยงครรภ์เป็นพิษ ใช้ยาแก้ปวดอย่างไรไม่ให้อันตราย?!
แม่ท้องเสี่ยงครรภ์เป็นพิษ ใช้ยาแก้ปวดอย่างไรไม่ให้อันตราย?!

การใช้ยาแก้ปวดในคุณแม่ตั้งครรภ์

เวลาที่มีอาการปวดต่างๆ นอกจากการใช้ยาพาราเซตามอล (paracetamol) แล้ว ก็ยังมียาแอสไพรินที่นิยมนำมาใช้ด้วย แต่เนื่องจากยาแอสไพรินนั้นมีผลข้างเคียงอย่างมาก หากจำเป็นใช้จริงๆ จึงต้องใช้อยู่ภายใต้คำแนะนำจากแพทย์เท่านั้น นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนายาแก้ปวดในกลุ่มใหม่ๆ ที่อาจส่งผลให้เกิดการระคายเคืองต่อกระเพาะอาหารน้อยกว่า และยังช่วยระงับอาการปวดได้ดีกว่าด้วย อย่างไรก็ตาม สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีอาการเจ็บปวดต่างๆ หากต้องการใช้ยาแก้ปวด แนะนำให้รับคำแนะนำจากแพทย์เพื่อรับยาที่เหมาะสมกับตัวคุณเองโดยตรงจะดีที่สุด

แม่ท้องเสี่ยงครรภ์เป็นพิษ ใช้ยาแก้ปวดอย่างไรไม่ให้อันตราย?!
แม่ท้องเสี่ยงครรภ์เป็นพิษ ใช้ยาแก้ปวดอย่างไรไม่ให้อันตราย?!

การใช้ยาแอสไพรินเพื่อป้องกันครรภ์เป็นพิษ

สำหรับการใช้ยาแอสไพรินเพื่อป้องกันครรภ์เป็นพิษนั้น แพทย์จะให้ใช้เฉพาะคุณแม่ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อภาวะครรภ์เป็นพิษเพื่อป้องกันอาการดังกล่าว โดยจะให้ยาวันละเม็ดในขนาด 81 มิลลิกรัม และเริ่มรับประทานยาตั้งแต่อายุครรภ์ช่วง 12 - 16 สัปดาห์ จนกว่าอายุครรภ์เข้าสู่ 34 สัปดาห์แล้วจึงสั่งหยุด เพราะทางการแพทย์ได้ค้นพบว่าการให้ยาแอสไพรินในขนานต่ำจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดครรภ์เป็นพิษและลดการเสียชีวิตของทารกก่อนกำเนิดได้

แม่ท้องเสี่ยงครรภ์เป็นพิษ ใช้ยาแก้ปวดอย่างไรไม่ให้อันตราย?!
แม่ท้องเสี่ยงครรภ์เป็นพิษ ใช้ยาแก้ปวดอย่างไรไม่ให้อันตราย?!

อันตราย!! เมื่อแม่ท้องใช้ยาแอสไพรินไม่ถูกต้อง

แม้ว่ายาแอสไพรินจะสามารถช่วยป้องกันเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษได้ แต่การใช้ยาในแบบผิดๆ หรือใช้ไม่ถูกต้องย่อมก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้เช่นเดียวกัน

1.ใช้ยาเกินขนาดที่แพทย์สั่ง

หากคุณแม่ตั้งครรภ์มีอาการครรภ์เป็นพิษอยู่แล้ว และยังคงกินยาแก้ปวดแอสไพรินอยู่ตามปกติ การตัดสินใจกินยาเกินขนาดโดยที่แพทย์ไม่ได้สั่งย่อมก่อให้เกิดอันตราย และยังส่งผลทำให้เกิดอาการครรภ์เป็นพิษกำเริบขึ้นอย่างรุนแรงได้

2.ไม่รู้ตัวว่ากำลังมีอาการครรภ์เป็นพิษ

หากแต่มีอาการปวดหัว หรือปวดจุกตรงลิ้นปี่อย่างรุนแรง และคิดว่าอาจเป็นเพียงแค่อาการปวดทั่วไปธรรมดาแล้วกินยาเอง ยิ่งหากคุณแม่กินยาแอสไพรินก็จะยิ่งทำให้อาการกำเริบหนักขึ้นจนครรภ์เป็นพิษวิกฤต และอาจส่งผลรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ เพราะฉะนั้น ในระหว่างที่แพทย์สั่งให้กินอยู่ก่อนแล้ว คุณจะต้องเฝ้าสังเกตอาการต่างๆ ที่ผิดปกติในร่างกายอยู่เสมอๆ เพราะบางอาการที่แทรกขึ้นมาอาจเป็นสัญญาณครรภ์เป็นพิษกำเริบก็เป็นได้

แม่ท้องเสี่ยงครรภ์เป็นพิษ ใช้ยาแก้ปวดอย่างไรไม่ให้อันตราย?!
แม่ท้องเสี่ยงครรภ์เป็นพิษ ใช้ยาแก้ปวดอย่างไรไม่ให้อันตราย?!

อาการแบบไหน? เสี่ยงครรภ์เป็นพิษ

- ตาพร่ามัว ปวดศีรษะและจุกแน่นลิ้นปี่

- ร่างกายมีลักษณะตัวบวม สาเหตุเนื่องจากมีโปรตีนไหลรั่วในปัสสาวะ

- ภาวะความดันโลหิตสูงในขณะตั้งครรภ์ (สำหรับอายุครรภ์มากกว่า 20 สัปดาห์) โดยวินิจฉัยจากการวัดความดันโลหิตในร่างกายคุณแม่ 2 ครั้ง ห่างกันอย่างน้อยเป็นเวลา 4 ชั่วโมง หากแพทย์พบว่าความดัน systolic มีค่าสูงกว่าหรือเท่ากับ 140 มม.ปรอทหรือความดัน diastolic มากกว่าหรือเท่ากับ 90 มม.ปรอท นั่นถือว่าร่างกายคุณแม่มีภาวะความดันโลหิตสูงแล้ว

แม่ท้องเสี่ยงครรภ์เป็นพิษ ใช้ยาแก้ปวดอย่างไรไม่ให้อันตราย?!
แม่ท้องเสี่ยงครรภ์เป็นพิษ ใช้ยาแก้ปวดอย่างไรไม่ให้อันตราย?!

ในกรณีที่อาการคุณแม่มีความรุนแรงขึ้นก็จะเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษวิกฤต กล่าวคือ ระบบอวัยวะภายในต่างๆ จะเกิดการล้มเหลว เช่น เกล็ดเลือดต่ำ ไตทำงานได้ไม่เต็มที่ เอนไซม์ในตับมีระดับที่สูงผิดปกติ ตาพร่ามัว ปวดศีรษะ จุกแน่นบริเวณยอดอก ปวดบวมน้ำ และชักหมดสติ อาการทั้งหมดนี้จะส่งผลทำให้ทารกในครรภ์เจริญเติบโตได้ช้ากว่าเกณฑ์อีกด้วย

เพราะฉะนั้น ในระหว่างตั้งครรภ์ โดยเฉพาะคุณแม่ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดครรภ์เป็นพิษ จึงควรหมั่นเฝ้าสังเกตอาการตัวเองตลอดเวลา หากพบความผิดปกติไม่ควรหายากินเองเด็ดขาด แต่ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างถูกต้องโดยเร็วจะดีที่สุด

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook