ระวังอาการปวดหัว อันตรายที่ไม่ควรมองข้าม!
อาการปวดหัวเป็นสิ่งที่สามารถพบได้ทั่วไป เนื่องจากสภาพอากาศ ฝุ่น ควัน แสงแดดและความร้อน รวมไปความตึงเครียดในการทำงานทำให้หลายคนมีประสบการณ์กับอาการปวดหัวที่แสนจะธรรมดา แต่มันกลับสร้างความรำคาญให้กับการดำเนินชีวิตประจำวันเป็นอย่างยิ่ง
หากใครต้องเผชิญกับอาการปวดหัวอยู่บ่อยครั้ง หรือมีอาการปวดแบบผิดปกติ ไม่มีเหตุปัจจัยกระตุ้นใดๆ ก็อาจจะต้องระมัดระวัง ไม่ควรมองข้ามกับอาการที่เกิดขึ้น เพราะอาการปวดหัวแต่ละรูปแบบมีความแตกต่างกันออกไปดังที่เราจะพาคุณมาทำความรู้จักกันดังต่อไปนี้ค่ะ
อาการปวดหัวขั้นรุนแรงแบบ Cluster Headache
ถือว่าเป็นอาการปวดหัวที่มักจะสร้างความทุกข์ทรมานให้กับผู้ป่วยเป็นอย่างมาก เมื่อใดก็ตามที่อาการปวดเกิดขึ้นราวกับว่ามีสิ่งของหนักๆ มาบีบที่เนื้อสมองจนแทบจะระเบิดออกมาให้ได้ โดยทั่วไปอาการปวดจะคงอยู่ราวๆ 5 นาที ไปจนถึง 3 ชั่วโมง มีการปวดเป็นระยะๆ มีอาการร่วมกับน้ำตาไหล ไม่สามารถควบคุมระบบต่อมน้ำลายและน้ำมูกได้ เป็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นจากต่อมไพเนียล การรักษาจะต้องใช้ยาในกลุ่มทริปเทนต์ และการใช้หน้ากากออกซิเจนในการหายใจร่วมด้วยจึงจะทำให้อาการทุเลาลงมาได้
อาการปวดหัวไมเกรน
เป็นอาการปวดที่พบได้ง่ายและถือว่าไม่ส่งผลร้ายแรงเท่าใดนัก แต่บางรายก็มีอาการปวดที่รุนแรงเกิดขึ้นจนกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน อาการปวดจะเกิดขึ้นจากข้างใดข้างหนึ่งของศีรษะ บางรายรู้สึกเวียนหัว อยากอาเจียน อาการปวดจะปวดแบบตุบๆ ติดต่อกันเป็นเวลานาน ไม่สามารถรักษาหายได้ ทำได้เพียงแค่การกินยาและหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น
อาการปวดหัวหลังตื่นนอน Early morning headaches
เป็นอาการปวดที่จะเกิดขึ้นในทันทีหลังการตื่นนอน บางรายเมื่อปวดแล้วไม่สามารถลุกขึ้นไหวในทันที จะต้องค่อยๆ พะยุงตัวเองสักพักก่อนจึงจะสามารถลุกขึ้นมาได้ สาเหตุของโรคนี้มักเกิดขึ้นจากปัจจัยกระตุ้นที่จะนำพาไปสู่การเกิดโรคไมเกรน หรือมาจากการนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ ความเครียด เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และความเชื่อมโยงจากอาการปวดอื่นๆ ในโซนใกล้เคียง การรักษาแพทย์จะต้องพยายามหาสาเหตุที่แน่ชัดให้ได้ก่อน จากนั้นจึงตามด้วยการให้ยาตามอาการที่เกิดขึ้น ร่วมกับการดูแลตัวเองของผู้ป่วยอย่างถูกวิธีร่วมด้วย
นี่เป็นเพียงแค่บางส่วนของโรคปวดหัวที่เราสามารถพบได้ หากเพื่อนๆ ไม่อยากให้ตัวเองต้องเผชิญกับอาการเหล่านี้ก็ควรดูแลตัวเองให้มากขึ้น พักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงความเครียดและทำจิตใจให้ร่าเริงแจ่มใสอยู่เสมอ
แต่ถ้าหากพบความผิดปกติที่ไม่สามารถรักษาหายได้ด้วยตัวเอง ก็ควรเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์จะเป็นการดีที่สุดค่ะ