รู้จัก Herpangina ตัวการทำให้เกิดแผลในปากทารกน้อย

แผลในปากของทารก เกิดจากตัวการของเชื้อไวรัสที่แตกต่างกัน ดังนั้นพ่อแม่จึงจำเป็นต้องรู้ว่าแผลที่เกิดในปากของลูกนั้นเกิดมาจากสาเหตุใด และสาเหตุนั้นมาจากเชื้อไวรัสชนิดใด วันนี้เราได้นำเกร็ดความรู้เกี่ยวกับ Herpangina ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวการที่ทำให้เกิดแผลในปากของทารกมาฝากกัน

Herpangina คืออะไร

Herpangina คือโรคชนิดหนึ่งที่เป็นตัวการทำให้เกิดแผลในช่องปากของทารก ซึ่งตัวการนี้เกิดมาจากเชื้อไวรัส Coxsackievirus A แต่ทั้งนี้อาจเกิดมาจากเชื้อไวรัส Coxsackievirus B หรือ Echoviruses ก็เป็นไปได้ อีกทั้งยังเกิดในทารก เด็กเล็ก วัยรุ่น และผู้ใหญ่

อาการที่แสดง

ในส่วนของอาการของโรค Herpangina ซึ่งเป็นตัวการทำให้เกิดแผลในปากของทารกนั้นจะมีอาการไข้ขึ้นสูงทันที มีอาการเจ็บคอ รู้สึกเบื่ออาหาร สามารถทานอาหารได้น้อยลง ปวดในบริเวณต้นคอ และมีตุ่มนูนแดง ในช่วงเวลาต่อมาจะมีอาการเป็นตุ่มพองใสและแตกจนเป็นแผลขนาดเล็กประมาณ 2-4 มม. จำนวน 2-6 แผล เกิดในบริเวณด้านหลังของช่องปาก เช่น ตรงที่เพดานอ่อน บริเวณขอบทอนซิล ทอนซิล ลิ้นไก่ และบริเวณลิ้น ในส่วนของแผลจะหายในระยะเวลา 7-10 วัน หากเปรียบเทียบถึงความแตกต่างระหว่างโรคนี้และโรคมือ เท้า ปาก ก็คือ โรคนี้จะมีตำแหน่งแผลเกิดที่บริเวณด้านหลังของช่องปาก และจะไม่มีตุ่มแผลที่บริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้า แต่สำหรับโรคมือ เท้า ปากจะมีแผลที่ด้านหน้าของช่องปากและจะมีตุ่มแผลที่ฝ่ามือและฝ่าเท้า

วิธีการรักษาโรค Herpangina

สำหรับวิธีการรักษาโรคชนิดนี้ ซึ่งเป็นโรคที่เกิดมาจากเชื้อไวรัส จะไม่มียารักษาโดยตรง แต่โรคชนิดนี้จะหายเองภายใน 7-10 วัน โดยมีการรักษาแบบประคับประคอง เช่น ให้ยาลดไข้ ยาแก้ปวด พาราเซตามอล ยา Vicous Lidocaine สำหรับทาแผลเพื่อให้หายเจ็บ และจะทำให้รู้สึกสบาย สามารถกินอาหารได้มากขึ้นกว่าเดิม และที่สำคัญห้ามใช้ยาแอสไพริน อีกวิธีคือการให้ลูกได้ทานของแช่เย็น และไอศกรีม จะช่วยให้ลูกไม่รู้สึกเจ็บแผลมาก ที่สำคัญไม่ทำให้ลูกเสี่ยงต่อภาวะขาดน้ำและอาหารได้

วิธีการป้องกัน

การป้องกันโรคชนิดนี้ให้ใช้วิธีการแยกผู้ป่วย ไม่ควรให้ลูกสัมผัสกับผู้ป่วย และไม่ควรพาลูกไปในที่สาธารณะหรือชุมชนที่มีผู้ป่วยโรคดังกล่าว ที่สำคัญควรเน้นหลักสุขอนามัยและสิ่งแวดล้อมที่ดีด้วย

ทราบถึงสาเหตุ อาการ วิธีการรักษา และการป้องกันโรค Herpangina ซึ่งเป็นตัวการทำให้เกิดแผลในปากของทารกกันไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นพ่อแม่ควรหันมาใส่ใจและหมั่นสังเกตภายในช่องปากของลูกน้อยให้ดี เพื่อสามารถรักษาหรือป้องกันอาการดังกล่าวได้ทันท่วงที