มะเร็งเต้านม โรคที่หญิงไทยควรรู้

มะเร็งเต้านม โรคที่หญิงไทยควรรู้

มะเร็งเต้านม โรคที่หญิงไทยควรรู้
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

 

ผู้หญิง ไทยทุกวันนี้ มีความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งเต้านมสูงขึ้นมาก โดยเฉพาะคุณผู้หญิงที่อาศัยอยู่ในหลายๆ เมือง อาทิเช่น กรุงเทพฯ, ขอนแก่น, เชียงใหม่ และลำปาง จนทำลายสถิติที่ใครก็ไม่อยากให้เกิดขึ้น แซงหน้ามะเร็งปากมดลูก กลายเป็นอันดับหนึ่งในสตรี และอีกไม่นานเชื่อว่าภาพรวมทั้งประเทศ มะเร็งเต้านมน่าจะเป็นมะเร็งที่พบเป็นอันดับหนึ่งในผู้หญิงไทยแน่นอน จากที่เคยทราบมาว่ามะเร็งเต้านมเป็นโรคของผู้หญิงสูงวัย หรือหญิงวัยทอง แต่จากการศึกษาของกลุ่มศัลยแพทย์ในประเทศไทยกลับพบว่า อายุเฉลี่ยโดยประมาณที่เริ่มเป็นมะเร็งเต้านมอยู่ที่ 40 ปี น้อยกว่าตัวเลขของต่างชาติถึง 10 ปี ทั้งยังพบมากขึ้นเรื่อยๆ ในผู้หญิงอายุน้อยๆ ซึ่งล่าสุดพบว่า เด็กหญิงอายุเพียง 16 ปีก็เป็นมะเร็งเต้านมแล้ว

สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งเต้านม
จาก สถิติดังกล่าวนั้นคงเป็นเรื่องที่ผู้หญิงหลายๆ คนนิ่งนอนใจไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เราคงต้องหันมาหาสาเหตุกันว่าอะไรกันแน่ที่เป็นตัวเพิ่มความเสี่ยงในการทำ ให้เกิดมะเร็งเต้านม และจากการศึกษาของแพทย์ พบว่าเกิดจาก ปัจจัยทางพันธุ์กรรม 5-10%, การรับประทานอาหารที่มีปริมาณไขมันสูง, การไม่ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ, การรับฮอร์โมนภายนอกเป็นระยะเวลานานกว่า 5-10 ปี ไม่ว่าจะเป็นยาเม็ดคุมกำเนิด ฮอร์โมนทดแทนในวัยทอง ก็ล้วนแล้วแต่ทำให้เพิ่มความเสี่ยงได้ แต่มีบางคนสงสัยว่า การใส่เสื้อชั้นในที่มีโครงเหล็ก การใช้โรลออลส์ทารักแร้ การผ่าตัดเสริมเต้านม ดื่มนมถั่งเหลือง ล้วนแล้วแต่ให้ให้เกิดความเสี่ยง แต่ในทางการแพทย์ยังไม่มีข้อพิสูจน์ที่ชี้ชัดว่าเป็นสาเหตุจริงๆ แม้แต่การมีซีสต์ในเต้านม ก็ไม่มีข้อบ่งชี้ว่าเพิ่มความเสี่ยง

การป้องกันโรคมะเร็งเต้านม
เรา ป้องกันมะเร็งเต้านมได้ ด้วยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อย 30 นาที ประมาณสัปดาห์ละ 3 ครั้งขึ้นไป ไม่บริโภคอาหารไขมันสูง ระมัดระวังการใช้ฮอร์โมนภายนอก นอกจากนี้ผู้หญิงทุกคน ควรที่จะฝึกคลำเต้านมด้วยตนเองอย่างสม่ำเสมอ และการตรวจอื่นๆ มีแนวทางดังนี้

- ตรวจเต้านมด้วยตนเอง อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง เมื่ออายุ 20 ปีขึ้นไป
- ตรวจเต้านมโดยแพทย์ ทุก 3 ปี ตั้งแต่ อายุ 20 ปี เป็นต้นไป หลังจากอายุ 40 ปี ควรได้รับการตรวจทุก 1 ปี
- ควรทำแมมโมแกรม และ/หรือ อัลตราซาวน์ในช่วงอายุ 35-40 ปี 1 ครั้ง หลังจากอายุ 40 ปี เป็นต้นไปควรทำทุก 1-2 ปี
- ในผู้ป่วยที่มีประวัติ ญาติสายตรงเป็นมะเร็งเต้านมหรือมะเร็งรังไข่ ควรเริ่มทำการตรวจตั้งแต่อายุที่ญาติเป็น ลบออก 5 ปี

สิ่งที่ตรวจพบที่ต้องระวังและมาพบแพทย์
คือ ถ้าเจออาการต่อไปนี้ ก้อน หรือ เนื้อเต้านมหนากว่าปกติ ผิวหนังแดง หรือร้อน รูขุมขนใหญ่ขึ้นเหมือนผิวส้ม ผิวหนังบุ๋ม หรือมีการหดรั้งมีการนูนของผิว ปวดกว่าปกติที่เคย คัน มีผื่น โดยเฉพาะบริเวณหัวนม และฐานรอบหัวนม หัวนมบุ๋ม การชี้ของหัวนมเปลี่ยนทิศทาง เลือดไหลออกจากหัวนม หรือมีแผลที่หายยากของเต้านม หัวนม เมื่อมาพบแพทย์ การวินิจฉัยมะเร็งเต้านมในปัจจุบันก็ไม่ยุ่งยาก ไม่ต้องเจ็บตัวหรือมีแผลขนาดใหญ่ๆ จากการผ่าตัด หลังจากที่มีการตรวจร่างกายโดยแพทย์ผู้ชำนาญแล้ว แพทย์จะทำการตรวจเพิ่มเติมด้วยเครื่องแมมโมแกรมและอัลตราซาวน์ ในปัจจุบันเทคโนโลยีดิจิตอล แมมโมแกรมทำให้ภาพที่เห็นมีความชัดมากขึ้นกว่าเดิมที่เป็นระบบอนาล็อค

ใน รายที่มีเนื้อเต้านมแน่นมาก หรือมีความเสี่ยงสูง การตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) ก็สามารถให้การวินิจฉัยได้อย่างรวดเร็ว เมื่อพบรอยโรคที่สงสัยว่าจะเป็นมะเร็งเต้านม แพทย์ก็จะใช้เข็มที่มีขนาดเล็กเพียง 1.5 มม. มาทำการเจาะตรวจชิ้นเนื้อ แม้ในรายที่คลำก้อนไม่ได้ ก็สามารถใช้แมมโมแกรม อัลตราซาวน์ หรือ MRI มาเป็นตัวนำทางให้เข็มไปเจาะถูกตำแหน่งที่สงสัยได้อย่างแม่นยำ เมื่อได้ชิ้นเนื้อ พยาธิแพทย์ก็จะดูผลว่าเป็นมะเร็งหรือไม่ ถ้าท่านเป็นมะเร็งก็ไม่ต้องตกใจ เพราะปัจจุบัน วิวัฒนาการด้านการรักษา ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัด การให้ยาเคมีบำบัด การรักษาด้วยฮอร์โมน การฉายแสง หรือการรักษาแบบพุ่งเป้า (Target therapy) ซึ่งให้ผลการรักษาที่ดี สำหรับการรักษาด้วยการผ่าตัดมีความทันสมัยมากขึ้น ปัญหาแทรกซ้อนน้อยลง เต้านมยังมีความสวยงามใกล้เคียงธรรมชาติมากขึ้นไม่ต้องทุกข์ทรมาน จากแขนที่บวมเนื่องมาจากการเลาะต่อมนำเหลืองรักแร้

 

 


ศูนย์รักษ์เต้านม โรงพยาบาลพญาไท
โทร.1772

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook