วู้ดดี้-วุฒิธร มิลินทจินดา : ดังเลือกได้

วู้ดดี้-วุฒิธร มิลินทจินดา : ดังเลือกได้

วู้ดดี้-วุฒิธร มิลินทจินดา : ดังเลือกได้
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

 

ถ้าจะพูดถึงพิธีกรที่แรงและฮอตในตอนนี้ ต้องยกให้หนุ่มคนนี้ วุฒิธร มิลินทจินดา หรือ "วู้ดดี้" ด้วยลีลาที่มั่นใจเป็นตัวของตัวเองสูง พูดตรงๆ ถามตรงตอบตรงได้โดนใจผู้ชม แม้ในช่วงแรกอาจจะโดนด่าบ้าง แต่ตอนหลังกลับกลายเป็นเอกลักษณ์ของวู้ดดี้ไปซะแล้ว ถ้าถามไม่แรงไม่ตรงไม่ใช่วู้ดดี้


วู้ดดี้อาศัยประสบการณ์การเป็นดีเจและพิธีกรมากว่า 10 ปี ในการผลิตรายการ "วู้ดดี้ เกิดมาคุย" รูปแบบรายการที่นำเสนอเรื่องราวของบุคคลหลากหลายอาชีพที่น่าสนใจและอยู่ในกระแส บวกกับการสัมภาษณ์ที่ตรงไปตรงมา ทำให้รายการของเขาได้รับความนิยมและการตอบรับที่ดี จนรายการย่างเข้าสู่ปีที่ 4 แล้ว วู้ดดี้บอกว่ารับรองมีอะไรที่ช็อกคนดูแน่นอน


"รายการ "วู้ดดี้ เกิดมาคุย" เข้าสู่ปีที่ 4 แล้วฟีดแบ็กดีมาก ปีแรกแขกรับเชิญแรงมาก ปีที่ 2 แขกแปลกมาก ปีที่ 3 หลากหลายมาก ปีหน้าเราวางไว้ต้องเป็นอะไรที่ตกใจ แต่ละอาทิตย์แขกหรือประเด็นที่เราเสนอจะช็อกคนดู มันเป็นการวางมาตรฐานให้กับทีมงานและตัวเองเพราะมันเป็นการท้าทายตัวเอง 3 ปีที่ผ่านมาเราได้นำเสนอบุคคลหลากหลายและคนคาดหวังจะได้เห็นวู้ดดี้ถามตรงตอบตรง แต่ปีหน้าเราจะเล่นตรีมใหม่ด้วยการช็อกคนดูทุกคืนวันอาทิตย์ ผมยอมรับช่วงนี้ผมกวาดเอาคนทั่วประเทศแล้ว แต่ตอนนี้เป็นการขุดเอาแขกรับเชิญที่คุณจะไม่คิดว่าในโลกนี้จะมีอะไรประมาณนี้ บวกกับวิธีการนำเสนอ เนื้อหา การตอบการคุย หัวข้อ มันจะช็อกคนดู


รวมไปถึงรูปแบบก็ไม่ใช่วู้ดดี้คุยกับคนคนหนึ่งแต่อาจจะเป็นการคุยกับหมู่คณะกับกลุ่มคนหรือทั้งหมู่บ้าน ซึ่งมันท้าทายมากขึ้น ตัวเราเองจะได้สนุก แต่ยังคงความเป็นวู้ดดี้ แต่บางเทปที่ถามไม่แรงคนจะไม่ชอบ อยากให้วู้ดดี้ถามตรง พูดตรงๆ ถ้าผมไม่ถามตรงจะโดนด่าไม่สนุกเลยไม่ถามแทนใจเขาเลย มันไม่เป็นในรูปแบบที่เขาคาดหวัง ก็แปลกดีเวลาที่เราเริ่มเป็นคนมากขึ้นคนจะไม่ชอบ ชอบให้เราเป็นแบบนั้น ให้เป็นคนที่ดุเดือดถามตรงถามเค้น"
นิสัยส่วนตัวเป็นคนอยากรู้อยากเห็นเรื่องของคนอื่นเหมือนในรายการหรือเปล่า


"โดยส่วนตัวนิสัยของผมถ้าไม่ได้สนใจผมก็จะไม่เค้นไง อย่างแขกคนนี้เป็นดาราถ้าผมไม่ได้รู้สึกอยากจะรู้อะไรมากผมก็ไม่แทะ ผมเป็นคนทำงานผมมองว่านี่คือวงการบันเทิง มันคือบทบาทของเรา แล้วคนต้องการเสพสิ่งนั้นเราก็สนองเขา แต่ผมชอบรู้เรื่องเทคโนโลยี เรื่องการบริหารการพัฒนาประเทศ เรื่องชาวบ้านเราไม่ค่อยเท่าไหร่ มีหลายครั้งที่ทีมงานต้องป้อนข้อมูลให้จนผมอินถึงจะทำ ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้แล้วผมจะทำนะ ผมก็ต้องอินในระดับหนึ่ง ผมต้องซึมซับประเด็นก่อนถึงทำ ไม่อย่างนั้นไม่รู้จะไปถามอะไรเขา เคยมีเทป 2 เทป ผมลองดูแต่ไม่อินไม่สนุกก็ไม่ได้ออกอากาศ เพราะมันไม่ตอบสนองความต้องการของคนไง เราไม่อินคนก็ดูออกว่าเราไม่อิน"

 

ส่วนใหญ่แขกรับเชิญที่มาเพราะรายการหรือเพราะตัวของวู้ดดี้
"ก็มีส่วนหลายคนที่มาก็อยากสัมผัสประสบการณ์ในการนั่งคุยกับผมว่าเป็นยังไงทุกคนรอคอยวันนี้ว่าจะมาให้วู้ดดี้เฉือนหรือชม แต่ผมเป็นคนแปลกถ้าอวยผมก็อวยถ้ากัดผมก็กัดมันแล้วแต่ฟีล เหมือนกับเขาต้องวัดดวงว่าขึ้นอยู่กับตัวเขาเองมากกว่า แต่ผมว่าในวงการคงมีหลายคนโดยเฉพาะดาราดังอยากมีโอกาสมาออกรายการผมสักครั้งในชีวิต มันเป็นเหมือนประสบการณ์ผมว่านะ แต่ขึ้นอยู่กับใจเขาว่าพร้อมหรือเปล่า พูดตรงๆ กลุ่มคนที่ดังมีชื่อเสียงหรือประสบความสำเร็จมากกลุ่มนี้จะไม่กลัวอะไรเลย ด้วยความที่เขาถึงจุดนั้นแล้วไง เขาไม่ต้องมานั่งระวังอะไรทั้งสิ้น จำไว้เลยคนที่กล้ามารายการวู้ดดี้คือคนที่กล้าเปิดเผยและไม่มีความลับกับสังคม


แต่ถามว่าทำไมแขกบางคนเราถึงไม่กล้าเชิญมาสักที ต้องยอมรับว่านี่คือกลุ่มคนที่ไม่กล้าเปิดเผยตัวเขาเอง ซึ่งก็มีเยอะดาราดังๆ โดยที่เราก็รู้เงื่อนไขชีวิตเขายังมีความลับเยอะ ซึ่งก็ไม่ดีสำหรับเขาและเราที่จะมาแทะในสิ่งที่ทำให้เขาไม่สบายใจ เพราะฉะนั้นบอกได้เลยทุกคนที่มานั่งคุยกับวู้ดดี้ล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลที่ผ่านอะไรมาเยอะเข้าใจโลกและพร้อมจะเปิดเผยตัวตน"


เคยมีไหมที่ถูกแขกห้ามถามในบางคำถาม

"ไม่เคย หรือเขาอาจจะคุยกับทีมงานมาแล้ว มันจะไม่มาถึงผม เพราะผมเป็นคนทำงานแบบนี้ไม่ได้ ผมเป็นคนที่เวลานั่งต่อหน้าแขกไม่สามารถจะรับรู้ได้ว่าห้ามถามอย่างนี้ ผมมีความรู้สึกโดนบล็อก ทีมงานจะรู้เลยว่าอะไรที่ห้ามถามอย่าบอกวู้ดดี้ ประเด็นมีแค่นี้นะ เช่น อย่าถามว่าท้องหรือเปล่า ทีมงานจะไม่บอกวู้ดดี้ว่าเขาห้ามถามนะคะ จะบอกประเด็นน่าจะไปประมาณนี้ ถ้าผมถามว่าทำไมไม่ถามว่าท้องหรือเปล่า ทีมงานจะบอกว่าประเด็นนี้อาจจะไม่ดีข้ามไปดีกว่า เพราะถ้าบอกห้ามถามผมถามทันทีเลยเพราะนิสัยผม ผมถึงบอกถ้าห้ามถามอย่าบอกผมแค่บอกจะให้ผมถามอะไรเท่านั้นเอง แต่ก็เคยมีหลุดถามไปบ้างก็ไม่มีอะไรแต่แขกก็ตอบ"


รู้สึกยังไงที่แขกอยากมาออกรายการเรา
"มีความภูมิใจที่ เราสามารถสร้างอะไรบางอย่างให้วงการบันเทิง เพราะตอนที่ทำรายการผมมองเลยว่าจะทำรายการที่ไม่ใช่เอาแต่เงินอย่างเดียว โอเค.เป็นธุรกิจแต่เราต้องมีความสุข ถามว่าวันนี้เราอยู่ได้เรามีเงินเลี้ยงพนักงานแค่นี้ผมก็พอใจแล้ว ผมจบแล้วกับวู้ดดี้ แต่วันนี้มันต่อยอดมาอีกพอ 3 ปีแล้วเรามีแรง เรามีรายการเพิ่มคือ "เช้าดู...วู้ดดี้" ทางช่อง 9 เป็นรายการวาไรตี้บันเทิงสด ออกอากาศวันจันทร์ - ศุกร์ ช่วงเช้า เราชอบนำเสนอมุมมองใหม่ๆอยากทำอะไรใหม่ๆ ให้คนดู เลยเป็นรายการบันเทิงตอนเช้า ซึ่งเนื้อหาจะเปลี่ยนไปทุกวัน


แต่คนจะบอกไม่มันเหมือนข่าว แต่ผมไม่สน เพราะผมเชื่อว่านั่นคือสิ่งที่ผมต้องการ บางคนบอกทำไมไม่เล่าข่าว แต่ผมรู้ตัวว่าเราต้องเชื่อตัวเอง ถ้าเราไม่ถนัดในสิ่งนั้นอย่าไปทำ แต่ก็ยอมรับว่าเหนื่อยแต่ผมอายุ 34 ปีแล้ว ผมมองว่าคนอายุ 30 กว่า ในเมื่อโอกาสเขามอบมาให้เราแล้วจะทิ้งมันทำไมก็ทำให้ดีที่สุด ผมจะรู้สึกเสียดายมากกว่าถ้าผมจะนั่งอยู่บ้านเฉยๆ และมานั่งบ่นอยากทำรายการ"


เป็นคนคิดเก่งคิดแตกต่างจากคนอื่น
"บางทีผมก็ไม่รู้ว่ามันเป็นความคิดที่ใช่หรือเปล่า แต่ผมต้องมีความมั่นใจในระดับหนึ่ง โชคดีที่ผมมีความด้านและมั่นใจว่าเราคิดว่ามันใช่ ตอนทำรายการวู้ดดี้เกิดมาคุยคนบอกรายการแบบนี้จะไม่อยู่ในทีวีไทยได้ยาวหรอก แต่ผมคิดต่างเพราะตอนนี้สังคมเปลี่ยนไปแล้ว ทุกวันนี้คนไทยเปลี่ยนเร็วมาก แล้วยุคสมัยนี้โลกมันเปิดแต่ถ้าเป็น 10 ปีที่แล้วอาจจะไม่รอด"


สมัยก่อนต้องดิ้นรนหาเวลาทำรายการ แต่ตอนนี้มีคนมาประเคนเวลาให้ถึงที่
"ทุกวันนี้มีคนให้เวลาผมทุกวันแต่ผมไม่มีเวลาไปทำ สมัยก่อนผมดิ้นรนอยากหาเวลาแต่สมัยนี้ผมไม่อยากจะได้เวลาเลย มันจะอ้วกแล้ว มีคนเอาเวลามาให้จนผมบอกไม่ทำได้ไหม เพราะคุณมีเวลาให้ผมแต่ผมไม่มีเวลาให้คุณ บางคนบอกทำไมไม่ช่องอื่น จะไปทำไม ในเมื่อตรงนี้เราก็ยังแฮปปี้อยู่ ผมรักช่อง 9 เพราะเขาคลอดผมมาเหมือนพ่อแม่ผม แล้วผมจะออกจากบ้านทำไม เขามีที่ให้ผมยืน เขาเลี้ยงดูผมอย่างดี โดยที่ผมไม่ต้องไปเล่นการเมืองสกปรก ผมเป็นคนที่ไม่ชอบทำอะไรให้เป็นการเมือง ผมไม่ชอบทำการเมือง ไม่ชอบยัดใต้โต๊ะไม่ชอบทำอะไรสกปรก แต่ช่อง 9 แฟร์มากให้คนอยู่เพราะผลงานไม่ใช่คอนเนกชั่นหรือเส้นสาย ผมเคยผ่านอะไรตรงนั้นมาก่อน ผมรู้ว่าการที่จะมีรายการอยู่ได้เพราะยัดหรือเส้นสายมันไม่น่าภูมิใจเท่าไหร่"


ชีวิตนี้ไม่อยากได้อะไรอีกแล้ว
"แค่นี้ผมรู้สึกภูมิใจในตัวเองที่เราสู้และมีวันนี้ ผมสามารถทำรายการทีวีได้และมีคนดูก็เป็นความภาคภูมิใจแล้ว ไม่ได้รู้สึกต้องมานั่งตะเกียกตะกายอะไรไปมากกว่านี้ ผมว่าผมตายได้แล้วนะ มันมีความรู้สึกว่าได้ทุกอย่างที่เป็นที่สุดของชีวิตแล้ว ผมไม่เคยฝันอะไรมากไปกว่านี้ วันนี้ผมรู้สึกพอใจมาก จนบางทีรู้สึกมันเยอะมากเยอะเกิน พอได้มาทำไมมันเยอะแบบนี้ บางทีอยากจะกลับไปใช้ชีวิตง่ายๆ ด้วยซ้ำ แต่เราก็รู้ว่านี่คือชะตาลิขิตของเรามันต้องมาเป็นอย่างนี้ มันต้องมาทำสิ่งนี้มันวางไว้แล้วจะกลับไปเป็น วู้ดดี้ ดีเจ ก็ได้ ชีวิตก็เรียบง่ายมากขึ้น เสร็จจากงานก็ไปกินข้าวกับเพื่อน ไปเที่ยว เงินในบัญชีก็มีประมาณหนึ่ง เจอพ่อแม่เสาร์ - อาทิตย์ มีแฟนกับเขาได้ ชีวิตคงมีความสุข แต่พอมาเป็นอย่างนี้สิ่งที่พูดมามันไม่มีเลยก็ไม่เป็นไร เราก็มีความสุขกับสิ่งที่เรามี"


พูดเหมือนกับไม่มีเพื่อนเลยนะ
"เพื่อนมีในวงการก็กินข้าวกันบ้างอาทิตย์ละครั้ง แต่ในแต่ละวันที่ผมทำงานเสร็จก็นอนแล้ว เพื่อนก็คือพนักงานนี่แหละ ขนาดเซ็กซ์ยังไม่มีเวลาจะคิดเลยด้วยซ้ำ ครั้งล่าสุดที่ช่วยตัวเองนานมากแล้วเป็นอะไรที่ทุกคนจะคิดว่าผมหมกมุ่น เพราะอารมณ์มันแรงแต่ผมพูดตรงๆ กับพี่ว่ามันตัดได้ ไม่ซีเรียส ถ้าเราทำงานแล้วแฮปปี้ ถามว่าผมตายด้านไหม ยอมรับว่าตายด้าน (หัวเราะ) เพราะบางทีมันก็ไม่แข็งจริงๆ เวลาไปเจอใครก็ไม่ได้รู้สึกไปกับเขา และไม่ได้คุยก็มีคนพยายามมาจีบแต่ผมเฉยๆ ผมบอกเลยผมไม่มีเวลาให้คุณนะ เขาก็หายกันไป"


หรือทำงานจนเครียดมาก
"บางคนบอกมีความสุขที่จะได้มีเซ็กซ์หรือเวลาคิดถึงแฟนแล้วมีความสุข แต่ไม่ใช่ความสุขของผมคือทำงานออกมาดีผมก็หลับได้แล้วไง ชีวิตมีแต่งานแต่ผมมีความสุขนะ ผมได้เจอคนได้แก้ปัญหาผมมีความสุข ถามผมว่าอะไรคือความสุข ถ้าวันนี้คุณมีความสุขกับสิ่งที่คุณทำ แล้วคุณมีความรู้สึกไม่มีอย่างอื่นทำให้คุณมีความสุขเท่ากับสิ่งนี้แล้ว มันก็คือใช่และถือว่าประสบความสำเร็จ ผมเชื่อว่าทุกคนมีฝัน เพราะฉะนั้นอย่าไปกลัวสู้ไปกับมัน เอาให้ถึงที่สุด ก่อนตายต้องบอกตัวเองว่าเราได้ทำในสิ่งที่เราอยากทำ อย่าทนกับสิ่งที่เราไม่อยากทำ ไม่งั้นพออายุมากเราจะนึกเสียดายเวลา แล้วเวลาไม่เคยรอใคร ผมเป็นคนที่โอกาสไม่เคยเข้ามาหา แต่ผมเป็นคนวิ่งเข้าหาโอกาสตลอดเวลา อย่านั่งอยู่กับที่แล้วรอให้โอกาสวิ่งเข้ามา แต่เราต้องวิ่งเข้าหาโอกาส"


ถือคติใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
"ผมถือคติใช้ชีวิตและมีความสุขไม่ต้องไปเครียดกับมันไม่ต้องไปสนใจ สมมติวันนี้บริษัทจะพังไม่เป็นไรเริ่มใหม่ได้ตลอดเวลา ผมเริ่มจากศูนย์ได้ตลอดเวลา ไม่เป็นไร สนุกออกชีวิตดิ้นรนตะเกียกตะกายเริ่มจากศูนย์ใหม่ ผมจะบอกให้เลยวินาทีที่สูงสุดในชีวิตผมคือตอนที่ผมไม่มีรายการแล้วตะเกียกตะกายสร้างบริษัท เสนอรายการให้กับช่อง มันยึดติดไม่ได้ เดี๋ยวนี้ผมไม่หวังอะไรแล้วเวลาที่คนชอบเรากรี๊ดเราหรือชอบรายการเราก็อยู่ในกระแส พออีกวันไม่ดีเราก็ร่วงเลยไม่ยึดติด เมื่อก่อนเวลาคนชมจะดีใจมาก เวลาคนว่าจะเฟลมาก เพราะเราสุขมากก็เลยทุกข์มาก"

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook