คุยกับ 'อาย วราไพรินทร์' สาวเก่งที่มีครบทั้งความสวยและสติในการใช้ชีวิต
เมื่อปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา การประกวดเวทีหนึ่งกลายเป็นที่พูดถึงในโลกโซเชียล โดยเฉพาะเรื่องคอนเซปต์การประกวดและผู้เข้าประกวดที่เป็นสาวๆ ไซส์ XL การประกวดเวทีนั้นก็คือ Miss Fat Thailand ซึ่งผู้อยู่เบื้องหลังเวทีนี้ก็คือ อาย วราไพรินทร์ ธนวริสพร หรือที่หลายคนยังจำเธอได้จากบทบาทของ ‘บีบี’ จากเรื่องสงครามนางงามทั้งสองภาค
การจัดประกวดงานนี้เป็นแค่หนึ่งในอีกหลายๆ งานของเธอเท่านั้น เพราะถึงเราจะรู้จักเธอในความเป็นดารา แต่นอกวงการบันเทิงนั้น เธอคือสาวเก่งที่สนุกกับการเรียนรู้ธุรกิจ ทั้ง NPS Green Energy ธุรกิจด้านโซลาร์เซลล์ที่เป็นกิจการของครอบครัว ธุรกิจอีเวนท์ออร์แกไนเซอร์ที่เธอทำมาแล้วราว 2 ปี และธุรกิจอาหารเสริมที่เพิ่งเปิดตัวได้ประมาณ 2 เดือน
การคุยกับอายทำให้เราได้รู้จักเธอเพิ่มขึ้น ไม่ใช่แค่เรื่องของบทบาทความรับผิดชอบที่หลากหลาย แต่ยังรวมไปถึงเรื่องการใช้ชีวิตอย่างมีสติ พร้อมรับมือกับทุกอย่างที่เข้ามาของผู้หญิงคนนี้
สมัยเด็กๆ เคยคิดไหมว่าโตขึ้นมาแล้วอยากทำธุรกิจ
ตอนเด็กๆ อยากเป็นดาราค่ะ (หัวเราะ) เพราะเราเป็นคนรักสวยรักงามตั้งแต่เด็ก เวลาดูละครก็จะคิดว่าตัวเองเป็นนางเอกทุกเรื่องเลยค่ะ ดูแล้วก็อิน ร้องไห้ เหมือนกับว่าเป็นชีวิตเรา ดราม่าไปกับละครทุกเรื่องที่เราดู
นอกจากเป็นดาราแล้วก็ฝันอยากเป็นนักร้องด้วย เพราะชอบร้องเพลงมาก น่าจะซึมซับมาจากคุณพ่อเพราะคุณพ่อก็ชอบร้องเพลงเหมือนกัน แล้วคุณพ่อก็เสียงดีมาก
ความที่อยากเป็นนักร้อง ตอนอายุ 18 เลยไปสมัครประกวดดัชชีเกิร์ลสาขานักร้อง ตอนนั้นได้ไปถึงรอบตัวแทนภาค แต่พอปีต่อมารู้สึกว่าเราอยากเอาดีทางด้านการแสดงมากกว่า ก็เลยประกวดสาขานี้แทน แล้วก็ได้เข้ารอบลึกกว่าเดิม
แต่จริงๆ ไม่ได้เป็นคนชอบประกวดนางงามหรืออะไรเลยนะ ที่ประกวดดัชชีเพราะเรามองว่ามันได้ในเรื่องความสามารถ อย่างถ้าเราประกวดสาขาร้องเพลงแล้วชนะก็ได้เป็นนักร้อง ถ้าเรามีความสามารถด้านแอ็กติ้ง เราก็ได้เล่นละคร ตอนนั้นเราเลยประกวดเพราะอยากได้ทำงานมากกว่า
ทั้งที่ไม่ได้ชอบประกวดนางงามเลย แต่ต้องเล่นละครที่เกี่ยวกับการประกวดนางงามทั้งเรื่อง ตอนที่เล่นเรื่องนี้รู้สึกอย่างไรบ้าง
รู้สึกว่าไม่ได้เป็นตัวเองเลยในเรื่องของการเดิน ยิ้ม ไหว้ สวัสดี เพราะเราไม่ได้เป็นคนที่นิ่งได้ขนาดนั้น แต่ด้วยความที่มันเป็นการแสดง เราก็แสดงไปตามบท แล้วละครเรื่องนี้ปรับบทไปตามความนิยมของตัวละครในเรื่อง ผู้กำกับก็บอกแต่แรกเลยว่า ถ้าเล่นไม่ดี จะให้ตายกลางเรื่อง เราก็เลยเต็มที่มาก
ตอนแรกเขาจะให้เราเล่นเป็นบทที่เรียบร้อยที่สุด แต่ตอนหลังเขาสลับบทของเรากับเพื่อน จากบทเรียบร้อยให้เป็นตัวที่จี๊ดที่สุด โดยให้เหตุผลว่า เวลาที่เราร่าเริงดูน่ามอง ดูมีเสน่ห์กว่าเวลาที่เราเศร้าหรือดูเหมือนคิดอะไรอยู่ในใจ
จากคนที่ตอนเด็กอยากเป็นดารา พอได้มาเล่นละครจริงๆ แล้วชอบไหม
ชอบค่ะ พอไปเล่นแล้วรู้เลยว่าจริงๆ เรารักในเรื่องของการแสดง เพราะพอเราได้เข้าใจการแสดงมากขึ้น เราก็จะเข้าใจว่าทำไมคนนั้นถึงทำแบบนี้ ทำไมคนนี้ถึงทำแบบนั้น เขาคิดอะไรอยู่ มันทำให้เราเข้าใจคนรอบข้างมากขึ้น อันนี้คือข้อดีอย่างหนึ่งของการแสดง แล้วอีกอย่างก็คือในละครเราสามารถเป็นใครก็ได้ที่เราอาจจะไม่ได้อยากเป็น หรืออาจจะเป็นใครที่อยากเป็นก็ได้
ทุกวันนี้ก็ยังมีงานละครติดต่อเข้ามาอยู่บ้าง เรื่องที่ถ่ายค้างไว้ก็มีเหมือนกัน แล้วก็มีละครจีนติดต่อมา แต่ติดตรงที่ละครจีนจะต้องไปถ่ายที่จีน ซึ่งเรายังไม่มีเวลาไปตอนนี้ แต่มันจะมีละครจีนที่มาถ่ายที่ไทยด้วย อันนี้เรากำลังคุยอยู่ เพราะถ้าถ่ายที่ไทยเราก็โอเค ไม่ติดอะไร
งานในวงการบันเทิงเราก็ยังทำอยู่ แต่เราก็อยากทำงานของตัวเองด้วยและอยากพัฒนาในแต่ละด้านให้ดีที่สุด ซึ่งจริงๆ งานในวงการบันเทิงกับงานธุรกิจของเรามันก็ไปด้วยกันได้ แต่เราแค่ต้องโฟกัสว่าตอนนี้เราทำอะไรอยู่ ไม่อย่างนั้นมันจะเสียหมด
ในพาร์ทของงานด้านธุรกิจ เริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไร
ถ้าเป็นของตัวเองจริงๆ น่าจะประมาณ 2 ปีกว่า ก่อนหน้านั้นเราเริ่มจากการเป็นหุ้นส่วนของบริษัทหนึ่งก่อน ที่เคยมีข่าวว่าโดนโกงตอนนั้นก็เป็นเรื่องจริง หลังจากนั้นก็เลยมีความคิดอยากเปิดบริษัทที่เป็นของเราเองโดยที่ไม่มีหุ้นส่วน เพราะเรารู้แล้วว่าเวลาที่เราพลาด มันทำให้คนอื่นพลาดไปด้วย และความรู้สึกนั้นมันเป็นแบบไหน
พอทำบริษัทเอง เราก็เริ่มด้วยการเป็นออร์แกไนเซอร์จัดอีเวนท์ก่อน อีเวนท์ที่จัดก็อย่างเช่นตลาดนัดดารา เราเริ่มตั้งแต่คิดคอนเซปต์ของงาน ไปเช่าพื้นที่ แล้วก็ไปจัดงาน ปีแรกที่ทำ เราลองผิดลองถูกด้วยการจัดทุกเดือน แต่พอจัดแล้วคนที่มาออกบูธกับเราเขาขายของไม่ได้ เราก็รู้สึกไม่ดี เราเลยรอบคอบในการเลือกสถานที่มากขึ้น เพราะเราคิดว่าคุณค่าในการทำงานนี้มันไม่ใช่แค่เรื่องของกำไรอย่างเดียว มันอยู่ตรงที่เราต้องทำให้แม่ค้าพ่อค้าที่มาออกบูธกับเราเขาอยู่ได้และขายของได้ด้วย แม้แต่ในช่วงที่เศรษฐกิจไม่ค่อยดี
เวลาทำงานใหม่ๆ แต่ละครั้ง เราเริ่มต้นอย่างไร
เวลาที่อายทำอะไรใหม่ๆ เราจะเอาตัวเองเข้าไปลองดู ไปรู้ให้มันชัวร์เสียก่อน เรายินดีให้ตัวเองวุ่นวาย เพราะจะได้รู้ว่าปัญหาคืออะไร แล้วก็จะได้แก้ได้ถูก หลังจากที่แก้ปัญหาได้แล้ว เราจะได้วางตัวคนที่ช่วยงานเราได้ แล้วเราก็จะมีเวลาไปทำงานอื่นมากขึ้น
อย่างธุรกิจใหม่ตอนนี้ที่เป็นอาหารเสริมประกายฟ้า เราก็เริ่มจากที่ไม่มีประสบการณ์ด้านนี้ตรงๆ มาก่อนเหมือนกัน ก็ศึกษาและเรียนรู้ทุกอย่างด้วยตัวเอง
อาหารเสริมตัวนี้เป็นที่มาของการประกวด Miss Fat Thailand ที่ผ่านไปเมื่อปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา อยากรู้ว่าจากการที่เราเล่นละครเกี่ยวกับนางงามมาก่อน เราได้เอาสิ่งที่ได้เรียนรู้จากละครมาใช้ในการเป็นผู้จัดการประกวดเองบ้างไหม
Miss Fat Thailand เป็นการจัดการประกวดเพื่อหา brand ambassador ของประกายฟ้า เพื่อหาที่จะเป็นตัวอย่างของคนอ้วนที่ดูแลตัวเองและผอมลงได้ การที่เราเคยเล่นเรื่องสงครามนางงามมาก่อน ทำให้พอเรามาเป็นผู้จัดการประกวดเองแล้ว เราจะพยายามมองทุกอย่างเป็นเรื่องปกติ คือต่อให้มันเป็นเรื่องไม่ปกติยังไง เราก็จะมองเป็นเรื่องปกติให้ได้ เพราะไม่อย่างนั้นเราจะไม่สามารถสยบทุกสิ่งตรงนั้นได้ เนื่องจากมันมีหลายเรื่องที่เราก็ไม่คิดมาก่อนเหมือนกันว่าจะเจอบนเวทีเรา
ทำงานหลายอย่างพร้อมๆ กันอย่างนี้ มีวิธีการแบ่งเวลาอย่างไรบ้าง
เอาจริงๆ มันก็มีบางช่วงที่เรารู้สึกเหมือนแบ่งเวลาไม่ถูก แต่พอจัดการได้ เราก็เลยต้องวางแพลนงานใหม่ อย่างช่วงหลังแคมเปญ Miss Fat Thailand จบไป ก็กลับมาตั้งสติ กลับมาประชุมกันใหม่ แล้วก็มองว่าทีมฝั่งอีเวนท์เราจะต้องวางแผนงานแบบไหน ผลลัพธ์ควรจะออกมายังไง ต้องประเมินด้วยผลลัพธ์ เพราะเวลาที่เราไม่ได้อยู่ สิ่งที่เราให้กับทีมงานก็คืออิสระในการทำงาน แต่ว่ามีผลลัพธ์เป็นอย่างไร
ทุกวันนี้มองว่าตัวเองมีอาชีพอะไรชัดเจนที่สุด
มองว่าตัวเองเป็นนักธุรกิจที่ยังอยู่ในวงการบันเทิงอยู่ เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำ มันก็เสริมกัน แต่ก็คิดว่าวันหนึ่งอยากจะทำธุรกิจอะไรที่มันเป็นธุรกิจในระยะยาวมากขึ้น อย่างงานของคุณพ่อที่เป็นเรื่องของพลังงาน เรื่องโซลาร์เซลล์ อันนั้นคืองานระยะยาว ซึ่งตอนนี้เราคงยังทำแบบนั้นไม่ได้ แต่ถามว่าอยากสร้างอะไรแบบนั้น ก็อยากสร้างและกำลังดูอยู่ว่าจะมีอะไรที่เราทำได้บ้าง เพราะบอกเลยว่าสภาพเศรษฐกิจแบบนี้ ต่อให้คุณมองว่าธุรกิจที่ทำอยู่มั่นคง แต่เราไม่รู้หรอกว่ามันจะจบวันไหน เราเลยพยายามรับมือกับทุกสถานการณ์ที่มันจะเกิดขึ้น
ถ้าพอมีเวลาว่าง สิ่งแรกที่อายจะทำคืออะไร
ไปทำสวยก่อนค่ะ (หัวเราะ) ไปทำหน้า ทำเล็บก่อน เพราะเวลางานยุ่งจะไม่ค่อยได้ไปทำ มีคนบอกว่าคนที่รักเองจริงๆ ไม่ใช่คนที่มองแค่เรื่องอนาคต แต่ต้องรักสุขภาพ ออกกำลังกาย และดูแลตัวเองด้วย ซึ่งตอนนี้ก็พยายามหาเวลาออกกำลังกายอยู่ ตอนที่ถ่ายละครและยังไม่ได้ทำบริษัทเอง ช่วงนั้นออกกำลังกายจริงจัง เพราะเรารู้ว่าจุดขายของเราคือหน้าตากับหุ่น ตอนนี้ถึงจะทำธุรกิจเป็นหลัก แต่เราก็ยังต้องแบ่งเวลามาดูแลตัวเองอยู่ดี ซึ่งจริงๆ เราว่าทุกคนก็ควรดูแลตัวเอง ไม่ใช่แค่เฉพาะดารา
คุณพ่อสอนอะไรเราบ้างในเรื่องธุรกิจ
คุณพ่อสอนว่าเรื่องธุรกิจมันไม่ได้สวยงามเสมอไปนะอาย รอบคอบไว้จะดีกว่า เคยถามพ่อว่า พ่อภูมิใจกับอายหรือเปล่าที่อายทำงานของตัวเอง พ่อก็บอกว่าจริงๆ แล้วเขาน่ะภูมิใจที่ลูกเป็นคนดีมากกว่าลูกจะหาเงินได้มากแค่ไหน พ่อบอกด้วยว่าเราไม่ต้องโฟกัสที่เรื่องตัวเลขอย่างเดียวหรอกลูก แต่ให้ทำงานแล้วก็สร้างคุณค่าไปด้วย
ช่วงที่มีปัญหาหนักๆ จากบริษัทที่เราไปเป็นหุ้นส่วนด้วย คุณพ่อว่าอย่างไร
ตอนนั้นเราไม่คิดที่จะบอกพ่อเลยนะ เพราะว่ามันเป็นเรื่องที่เราทำเอง พลาดเอง แต่พอรู้เรื่อง พ่อก็บอกว่า พ่อไม่ให้โทษใครเลยนะ อายลองคิดดูก่อนว่ามันเกิดข้อผิดพลาดเพราะใคร คือหนูไม่ได้ลงไปดูงานเองใช่ไหม พลาดเพราะเราคิดอะไรเร็วไป ง่ายไป หรือเปล่า
พ่อก็พูดให้เราสบายใจด้วยว่า ไม่เป็นไรนะอาย ถ้าเขาเป็นเจ้ากรรมนายเวรที่อายต้องชดใช้ อายก็ต้องใช้ให้หมด ถ้าใช้ไม่หมด เดี๋ยวก็จะไปสะดุดในงานต่อๆ ไปของเราอีก คือพ่อพูดให้เรารับมือกับมัน ไม่หนีปัญหา
ปัญหาตอนนั้นถือว่าหนักสุดในชีวิตแล้ว เพราะเราในอายุนั้นก็คิดว่าตัวเลขเงิน 7 หลักที่เราสะสมมามันไม่ได้หาได้ง่ายๆ แล้วเงินที่เสียก็มีทั้งเงินเก็บของเราเองและเงินที่เพื่อนฝากเราลงทุน
แต่พอถึงตอนนี้ เราก็ต้องขอบคุณที่ในวันนั้นมันทำให้เราเห็นคนที่อยู่ข้างเรา และทำให้เราเห็นว่าข้อผิดพลาดของเราคืออะไร
สำหรับอาย ความสนุกของการทำงานหลายๆ อย่างแบบนี้อยู่ตรงไหน
เราเป็นคนไม่เล่นเกม แต่นี่คือเกมชีวิตที่เราจัดการกับมันอยู่ เป็นเกมชีวิตจริงที่เราต้องรอบคอบ จะตัดสินใจอะไรตามภาวะอารมณ์ไม่ได้ บางทีเราก็มีอารมณ์ แต่เราก็ต้องดึงสติกลับมา ถ้าเรามีสติ เราจะจัดการกับปัญหาได้ดีกว่าการที่เราใช้แค่อารมณ์
นอกจากเรื่องของสติแล้ว เราจะมองอยู่ตลอดว่าด้านไหนที่เรารู้สึกว่าต้องเรียนรู้เพิ่มเติม ก็จะเอาตัวเองไปเรียนรู้เรื่องนั้นๆ อย่างงานที่บ้านที่เป็นเรื่องของพลังงาน เรามองว่าถ้าเป็นความรู้เรื่องนี้โดยตรง เราสามารถเรียนรู้จากวิศวกรเก่งๆ ในบริษัทได้เพื่อให้เข้าใจเบื้องต้น แต่เราเป็นสายติดต่องานมากกว่าสายหน้างาน เพราะฉะนั้นสิ่งที่ควรเรียนรู้เพิ่มก็น่าจะเป็นเรื่องการบริหารธุรกิจ การตลาด เรื่องภาษา และการหาคอนเน็กชั่นเพิ่มเติม
แล้วมีเวลาให้กับเรื่องความรักบ้างไหม
ตอนนี้ไม่ได้โฟกัสเรื่องนี้เลยและไม่มีแฟน แต่ก็มีคนเข้ามาคุย เข้ามาทำความรู้จัก ซึ่งถามว่าเราจะปฏิเสธการเป็นเพื่อนกับพวกเขาไหม...ไม่ เพราะทุกคนก็เป็นเพื่อนกัน ในวันข้างหน้าอาจจะต้องพึ่งพากันก็ได้
ที่ผ่านมา เราเห็นชีวิตเพื่อนเราหลายๆ คน แล้วก็สงสัยว่า แบบนั้นมีความสุขกันจริงๆ หรือเปล่า ตอนนี้ก็เลยขออยู่แบบนี้ก่อน อยากทำให้ชีวิตเราดีก่อน
เราชอบคนที่นิสัยเป็นผู้ใหญ่ ไม่ได้พูดถึงอายุนะ แต่ต้องมีความเป็นผู้ใหญ่ มีความเข้าใจสูง เพราะถ้าจะมีแฟนอีก ก็จะอยากได้คนที่เดินไปด้วยกันแล้วเข้าใจจริงๆ ว่า เราอาจจะไม่มีเวลามานั่งทะเลาะหรือมานั่งอธิบายในสิ่งที่เรามองว่ามันเป็นเรื่องเล็กมากๆ เราก็คงไม่มีเวลาแล้ว แต่ถ้าเข้าใจกัน ต่างคนต่างมีความรับผิดชอบของตัวเอง และพร้อมที่จะเดินทางไปในเป้าหมายเดียวกันในอนาคต เราก็โอเค แต่เรายังไม่เจอคนนั้น ยังไม่ค่อยมีคนเข้าใจเรื่องนี้เท่าไร
ทุกวันนี้ที่ดูเหมือนอายจะดูแลตัวเองได้ทั้งในเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว คุณพ่อยังห่วงเรื่องไหนอยู่อีกบ้างไหม
พ่อบอกว่าห่วงทุกเรื่อง แต่บางทีจะไม่ได้พูด ซึ่งเราก็จะไม่รู้ว่าเขาห่วงอะไรบ้าง แต่พ่อจะชอบพูดกับคนอื่นเสมอว่า อายเหมือนลูกชาย แล้วก็ภูมิใจที่อายและน้องๆ เป็นคนดี ไม่มีใครเห็นแก่ตัว
ที่พ่อบอกว่าเราเหมือนลูกชายคงเพราะนิสัยเราที่กล้าได้กล้าเสีย เป็นคนคิดและตัดสินใจเร็ว อย่างในแง่ของการลงทุนเป็นคนใจใหญ่ กล้าตัดสินใจ คือเราเป็นคนใช้สมองมากกว่าใช้ความรู้สึก เป็นคนใจร้อนนะ แต่ว่ามีสติ เพราะรู้ว่าตัวเองใจร้อน ก็เลยพยายามคิดเยอะๆ แล้วถึงจะพูดหรือทำอะไร แล้วก็เป็นคนเอาแต่ใจ ไม่ใช่ว่าเอาแต่ใจแบบทำร้ายความรู้สึกรอบข้าง แต่เอาแต่ใจแบบที่ถ้าตัดสินใจว่าจะทำอะไรแล้วจะทำ ถ้าพลาด จะถอยเอง
เราจะบอกทุกคนว่าถ้าอายจะตัดสินใจจะทำอะไรแล้ว อย่าห้ามอาย แล้วก็ถึงจะดูเหมือนว่าเวลาคุณเตือนอะไรแล้วเราไม่ได้ทำตามในเวลานั้น แต่เราจะจำสิ่งที่คุณเตือนและจำอยู่ในใจว่าคุณเป็นห่วง แล้วเวลาที่เราไม่แน่ใจก็จะเอาคำพวกนี้มาคิดทบทวน อาจจะดูเหมือนไม่ฟังในทันทีจนทำให้คนรอบข้างที่เป็นห่วงน้อยใจได้ เพราะรู้สึกเหมือนพูดไปแล้วเราไม่ฟัง แต่สุดท้ายเราตัดสินใจตามความหวังดีของเขาเลยนะ
อัลบั้มภาพ 7 ภาพ