ไม่กลัวความตายแต่กลัวการเกิด โบวี่ อัฐมา ชีวนิชพันธ์
คนเราแต่ละคนมีความกลัวต่างๆ กันไป บางคนกลัวความสูง บางคนกลัวความมืด บางคนกลัวความทุกข์ แต่สิ่งที่ "โบวี่ อัฐมา ชีวนิชพันธ์" กลัวที่สุดคือการเกิด
โบวี่เล่าถึงชีวิตก่อนรู้จักธรรมะว่า
“จริงๆ โบคิดว่าตัวเองมีครบนะ รูปร่างหน้าตาก็ไม่แย่ อาชีพการงานดี รายได้ดี มีคนรัก แต่ทำไมไม่มีความสุขจริงๆ สักที หรือบางช่วงเวลาที่มีความสุข มันก็จะเป็นสุขปนทุกข์ เพราะในขณะที่มีความสุข เรามักกลัวช่วงเวลาเหล่านี้จะหายไป เราอยากให้มันอยู่กับเรานานๆ แต่มันเป็นไปไม่ได้ เราก็ทุกข์ หรือเวลาที่โบมีเป้าหมายบางเรื่อง คิดว่าถ้าไปถึงเป้าหมายเราต้องมีความสุขแน่ๆ แต่พอไปถึงจริงๆ กลับไม่สุขอย่างที่คิด หรือบางเป้าหมายที่เราไปถึงแล้วมีความสุข มันก็ไม่หยุดอยู่แค่นั้นเพราะเราจะเปลี่ยนเป้าหมายไปอีกไม่จบไม่สิ้น จนโบถามตัวเองว่า ความสุขที่แท้จริงอยู่ที่ไหนแล้วมันคืออะไร
“โบสนใจธรรมะมานานแล้ว แต่ก่อนหน้านี้เรายังไม่เจอทางที่ถูกจริต เคยลองปฏิบัตินั่งสมาธิ 5 นาทียังไม่ได้เลย หายใจไม่ออก อึดอัด คิดว่าตัวเองไม่มีบุญ ไปเข้าคอร์สปฏิบัติธรรม 3 วันจะร้องไห้ ไม่ไปอีกเลย หลังจากนั้นเวลาทำบุญจึงทำแค่สร้างวัดสร้างโบสถ์ สร้างพระพุทธรูป ปล่อยปลา ไถ่ชีวิตโค ช่วยบ้านเด็กกำพร้า บ้านคนชราเท่านั้น
“จนกระทั่ง 2 ปีที่แล้วเป็นปีชงของโบ พี่คนหนึ่งบอกว่า ถ้าปฏิบัติธรรมจะผ่อนหนักเป็นเบา แล้วโบก็มีโอกาสได้ไปปฏิบัติธรรมที่เตโชวิปัสสนา จังหวัดสระบุรี ไปเข้าคอร์ส 7 วัน ปิดวาจา ไม่ใช้มือถือ การไปที่นั่น ทำให้โบเจอทางที่ถูกจริต จิตเริ่มคลายจากความยึดมั่นถือมั่น ทำให้มีกำลังใจว่าเราทำได้
“พอกลับมาบ้านก็นั่งภาวนาทุกวัน วันละ1 ชั่วโมง ทำติดต่อกัน 4 เดือน เห็นการเปลี่ยนแปลงของจิต เมื่อก่อนเราทำงาน เรายึดอาชีพนักแสดง ยึดเงินทอง ยึดสังคม ยึดคนรัก ยึดไปหมด ยิ่งยึดก็ยิ่งทุกข์ พอเราฝึกจิตบ่อยๆ จิตเริ่มคลาย อาการยึดก็เบาลง เราทุกข์น้อยลง”
เมื่อ โบวี่ เห็นการเปลี่ยนแปลงของจิตชัดขึ้น ความทุกข์ต่างๆ เบาบางลง และได้ศึกษาธรรมะมากขึ้น นิพพานจึงกลายเป็นเป้าหมายของชีวิต
“เราถูกปลูกฝังกันมานานเรื่องทำบุญเพื่อจะไปสวรรค์ เมื่อก่อนโบก็อยากทำดีเพื่อไปสวรรค์ เพราะคิดว่าสวรรค์คือที่สุดแล้ว แต่พอศึกษาธรรมะจริงๆ การไปสวรรค์ก็ยังต้องเวียนว่ายตายเกิด บางคนไปใช้บุญบนสวรรค์ หมดบุญแล้วบาปก็จะส่งผลให้ดิ่งลงนรก หรือบางคนหมดบุญจากสวรรค์ก็ลงไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ฉะนั้นอยู่บนสวรรค์ก็ยังอันตราย สุดท้ายคุณก็ต้องเกิดอีก แล้วถ้าคุณประมาท คุณก็จะเผลอทำชั่วโดยไม่รู้ตัว
“การเวียนว่ายตายเกิดมันเป็นเกมอำมหิต ท่านอาจารย์ที่เตโชวิปัสสนาใช้คำนี้ เพราะเรามีความไม่รู้ เราพลาดทำชั่วโดยที่เราไม่รู้ พอถึงเวลาที่ต้องรับผลกรรมเราจะคิดว่า ฉันไปทำกรรมอะไรมานักหนา บางคนเกิดมาพิการ บางคนเกิดมาจนมาก ชีวิตแร้นแค้นสามีทิ้ง เลี้ยงลูกคนเดียว นั่นเป็นผลจากเหตุที่เขาเคยทำไว้ กิเลสจะหลอกล่อให้เราทำชั่วโดยไม่รู้ตัว สุดท้ายเราต้องมารับผลกรรมที่ทำถ้าคนทำชั่วแล้วตกนรก รู้ว่านรกมีจริง ก็จะไม่กล้าทำชั่วอีก แต่พอเกิดใหม่ จำอะไรไม่ได้ไม่รู้อีก ก็เผลอทำอีก วนอยู่อย่างนี้
“โบอยากหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด เพราะเห็นแล้วว่า การเกิดเป็นทุกข์ไม่กลัวตาย แต่กลัวเกิด ไม่ว่าเกิดมารวย จน สวย หล่อ สมบูรณ์ พิการ หรืออะไรก็แล้วแต่ สุดท้ายก็ต้องทุกข์จากความไม่เที่ยง จากการพลัดพราก คนเราต้องเจอการเกิดแก่ เจ็บ ตาย ทั้งเราตาย คนรักตาย ลูกตาย ทุกคนต้องเจอเหมือนกัน เกิดมายังไงก็ทุกข์ ทางที่จะหลุดจากทุกข์ทั้งปวงคือนิพพานไม่ต้องกลับมาเกิดอีก
“ชาตินี้โบมีโอกาสรู้ว่ามันมีทางหลุดพ้นโบจะต้องใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าที่สุด จะต้องไปถึงนิพพานให้ได้ จะไม่ให้เสียเวลาในชาตินี้เด็ดขาด มีวาสนาได้รู้ เจอทางที่จะไปถึงเจอครูบาอาจารย์ที่จะพาเราไปถึงแล้ว โบจะไม่เสียเวลา โบเปลี่ยนเป้าหมายในชีวิตทันที
“เป้าหมายทางโลกเป็นเรื่องรอง แต่เป้าหมายอันดับหนึ่งคือการปฏิบัติธรรมไป จนถึงมรรคผลนิพพาน ถ้าไม่ได้ชาตินี้ก็ต้องปฏิบัติให้เยอะที่สุด เราต้องบำเพ็ญไปเรื่อยๆ เพื่อสั่งสมให้จิตเกิดปัญญา ต้องบำเพ็ญบารมีให้ได้มากที่สุด
“เมื่อเป้าหมายในชีวิตเปลี่ยน ต้องปรับการใช้ชีวิตใหม่ พอจะไปปฏิบัติธรรม โบล็อกคิว ไม่รับงาน มีงานหลายแสนติดต่อเข้ามาก็ไม่รับ ตรงนี้มันฝึกให้เราวางด้วย สละเรื่องเงินได้ไหม อย่ายึดสิ วางลง ทำให้เราได้ฝึกจิตไปในตัว นอกจากนี้โบจะต้องแบ่งเวลาปฏิบัติภาวนาทุกวัน เหนื่อยขนาดไหนก็ต้องทำ มองการภาวนาให้เป็นหน้าที่เหมือนกับการทำงานเป็นหน้าที่ ตื่นเช้ามาขี้เกียจตื่นไปทำงาน แต่เราต้องหาเงินเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง มันเป็นหน้าที่ ยังไงก็ต้องไป การภาวนาก็เหมือนกันจะขี้เกียจยังไง เหนื่อยแค่ไหนก็ต้องทำ เพราะเป็นหน้าที่ไปแล้ว เปรียบง่ายๆ เหมือนเรากินข้าวทุกวันเพื่อมีชีวิตอยู่ การภาวนาก็เช่นกัน ต้องภาวนาทุกวันเพื่อมีชีวิตอยู่ เมื่อภาวนาไปเรื่อยๆ จะรู้สึกเลยว่า ถ้าวันไหนเราไม่ภาวนาจะเหมือนตัวเราสกปรกไม่ได้อาบน้ำ”
นอกจากแบ่งเวลาปฏิบัติภาวนาเป็นประจำทุกวันแล้ว ระหว่างวันเธอก็ไม่ลืมฝึกเจริญสติอยู่เสมอ
“หลวงพ่ออีกท่านหนึ่งที่โบมักฝึกตามที่ท่านสอนอยู่เสมอก็คือ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ท่านสอนเกี่ยวกับเรื่องของการเจริญสติในชีวิตประจำวัน สามารถใช้ได้จริง ตั้งแต่ตื่นจนถึงเข้านอน สิ่งที่โบนำมาใช้คือ การรู้กาย รู้จิตตลอดเวลา พอเรารู้ จิตจะไม่ฟุ้ง ไม่เตลิดไปไหน ไม่ตามกิเลส ไม่หลง เราจะเห็นสภาวะไม่เที่ยง ตอนเช้าสุข ตอนเย็นทุกข์ กลางคืนเหงา สักพักก็สุขใหม่ เราได้เห็นไตรลักษณ์ เราดูมันเป็นทุกข์ เป็นอนิจจัง ทุกอย่างไม่ใช่ตัวเรา มันควบคุมไม่ได้”
เป้าหมายในวันนี้ของเธอไม่ใช่การทำงานในวงการบันเทิงไปตลอดชีวิต
“โบคิดว่าพอผ่อนบ้านเสร็จ ใช้หนี้อะไรต่างๆ ดูแลพ่อแม่ให้ดี เคลียร์เรื่องทางโลกได้แล้ว โบจะออกจากวงการบันเทิง เพราะแม้นักแสดงจะเป็นอาชีพที่ไม่ผิดศีล 5 แต่เป็นอาชีพที่สร้างวิบาก ทำให้คนลุ่มหลงมัวเมาอยู่กับกิเลส สิ่งเหล่านี้ทำให้เราติดวิบาก เป็นวิบากจากการทำให้คนอื่นขาดสติ วิบากตัวนี้จะขวางในการเข้าถึงธรรม เช่น โบควรปฏิบัติ แล้วก้าวหน้ามากกว่านี้ แต่เรายังไปไม่ได้เพราะเราติดวิบาก”
ก่อนจบการสนทนา โบวี่ ทิ้งท้ายไว้ว่า
“ถ้าคุณอ่านในสิ่งที่โบถ่ายทอด คุณอาจเข้าใจในหัวสมอง แต่พอไปเจอเรื่องมากระทบจริงๆ คุณทำใจไม่ได้หรอก ต้องฝึกด้วยตัวของคุณเอง ธรรมะของพระพุทธเจ้า ท่านไม่ได้ให้เชื่อในสิ่งที่ท่านสอน แต่ท่านเชื้อเชิญให้ลองพิสูจน์ด้วยตัวเอง มันเป็นปัจจัตตัง
“คุณต้องลองให้รู้ด้วยตัวเอง แล้วคุณจะรู้ว่าธรรมะของพระพุทธองค์มหัศจรรย์จริงๆ”