มรดกจากในหลวง รัชกาลที่๙ จากการเรียนรู้ผ่านการสวรรคตของพระองค์
13 ตุลาคม 2559 การสูญเสียครั้งใหญ่ของชาวไทยที่ไม่มีใครอยากให้เกิด เสียงร้องไห้ยังดังก้อง ภาพหยดน้ำตาอาบแก้มของใครหลายๆคน ยังคงจำได้ติดตา และคงไม่มีใครลืมความรู้สึกในวันนั้นได้อย่างง่ายดาย แต่ในสิ่งร้ายย่อมมีสิ่งดีแทรกขึ้นอยู่เสมอ ท่ามกลางความเศร้า เราได้เห็นความสามัคคีของปวงชนชาวไทย ความสามัคคีที่พ่อหลวงพยายามบอกคนไทยทุกคนผ่านพระบรมราโชวาทหรือพระราชดำรัสต่างๆ ความสามัคคี...ที่ถูกปลุกให้ตื่น...ในยามที่พ่อหลวงหลับ
16 ตุลาคม 2559 จูนมีโอกาสไปถวายความเคารพพ่อหลวงผ่านกำแพงพระบรมมหาราชวัง สิ่งที่เราเห็นในวันนั้น เป็นสิ่งที่เราอธิบายความรู้สึกออกมาผ่านตัวหนังสือไม่หมดจริงๆ
...เราเห็น...คนไทยที่มีแต่ความเอื้ออาทรต่อกัน
...เราเห็น...เด็กวัยรุ่นทั้งชายและหญิงถือถุงขยะยืนร้องบอกคนที่ผ่านไปมาว่าสามารถทิ้งขยะกับพวกเขาได้ สลับกับการเดินไปเก็บขยะตามแต่ละจุด
...เราเห็น...เยาวชนชายวิ่งเอาข้าวกล่องพร้อมน้ำเปล่ามาให้คุณป้าที่กำลังง่วนหั่นไส้กรอกให้ลูกค้าที่ล้นร้าน
...เราเห็น...บรรดาจิตอาสายื่นน้ำ ขนม ข้าว ยาดม ยาหม่อง ให้กับผู้คนที่มาถวายความอาลัยต่อพระบรมศพ
...เราเห็น...รถฟรีจากทั้งจิตอาสาและองค์กรต่างๆคอยบริการผู้คน
22 ตุลาคม 2559 วันรวมพลังร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี ท้องสนามหลวงและบริเวณโดยรอบอัดแน่นไปด้วยผู้คน บางจุดแน่นมากจนแทบหายใจไม่ออก แต่เรายังเห็นน้ำใจคนไทยอย่างต่อเนื่อง เด็กผู้หญิงสองคนยืนแจกแอมโมเนียให้คนที่ทำท่าจะเป็นลม แล้วก็เอาพัดช่วยพัดให้คนที่อยู่รอบๆ และท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ 13.00 น. เมื่อถึงเวลาร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี ทุกคนพร้อมใจกันเปล่งเสียงร้องออกมาจากหัวใจ หลายคนร้องเพลงทั้งน้ำตาด้วยความรู้สึกเดียวกัน นั่นคือ คิดถึงพ่อหลวงสุดหัวใจ
พอตกกลางคืน เรามีนัดร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีเวลา 22.00 น. ช่วงค่ำจนถึงก่อนร้องเพลง ฝนยังคงตกอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคแม้สักนิด และแปลกที่เมื่อเพลงสรรเสริญพระบารมีถูกขับขานออกมาจากคนไทยทุกคนที่พร้อมใจกันเปล่งเสียงออกมาในบริเวณนั้น ฝนที่ตกก็หยุดลงอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ราวกับจะเปิดทางให้พวกเราได้เปล่งเสียงถึงพระองค์ที่อยู่บนฟ้าอย่างเต็มที่
ช่วงเวลาเหล่านั้นทำให้รู้สึกว่า คนไทยรวมเป็นปึกแผ่นแล้วจริงๆ ไม่แบ่งสี แบ่งข้าง มันคือความสามัคคีที่แท้จริงที่เราอยากบันทึกไว้ว่า จริงๆแล้ว “คนไทยรักพ่อเหมือนกัน พวกเรารักกัน” พระบารมีของในหลวง รัชกาลที่9 ทำให้เรากลับมาสามัคคีกันอีกครั้ง
เราไม่รู้ว่าวันข้างหน้า คนไทยจะยังรักและสามัคคีกันอยู่ไหม แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เปลี่ยนแปลงไปไม่เหมือนวันนี้ เราขอให้พระราชดำรัสของในหลวง รัชกาลที่9 เป็นเครื่องเตือนใจพวกเรา ซึ่งพระราชดำรัสนี้ เราเจอมาจากหนังสือ ตามรอยพ่อ ก-ฮ เรียบเรียงโดย คุณสุวัฒน์ อัศวไชยชาญ เป็นพระราชดำรัสที่พระองค์ทรงประทานไว้ช่วงเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ แด่ พล.อ.สุจินดา คราประยูร และ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง เมื่อวันที่ 20 พ.ค.2535 ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน ความตอนหนึ่งว่า
“...ขอให้ท่าน โดยเฉพาะท่านทั้งสอง พลเอกสุจินดาและพลตรีจำลอง ช่วยกันคิด คือหันหน้าเข้าหากัน ไม่ใช่เผชิญหน้ากัน เพราะว่าเป็นประเทศของเรา ไม่ใช่ประเทศของหนึ่งคน สองคน เป็นประเทศของทุกคน...อันตรายมีอยู่ เวลาคนเราเกิดความบ้าเลือด ปฏิบัติการรุนแรงต่อกันมันลืมตัว ลงท้ายก็ไม่รู้ว่าตีกันเพราะอะไร แล้วจะแก้ปัญหาอะไร เพียงแต่ว่าจะต้องเอาชนะ แล้วใครจะชนะ ไม่มีทางชนะ อันตรายทั้งนั้น มีแต่แพ้ คือต่างคนต่างแพ้...ที่แพ้ที่สุดก็คือประเทศชาติ...แล้วจะมีประโยชน์อะไรที่จะทะนงตัวว่าชนะ เวลาอยู่บนกองสิ่งปรักหักพัง...”
วันใดก็ตามที่ความสามัคคีของคนในชาติเริ่มสั่นคลอน เราหวังว่า พระราชดำรัสของพระองค์น่าจะช่วยเตือนสติใครหลายๆ คน ได้บ้าง แม้สักนิดหนึ่ง...ก็ยังดี