ฉลองปีใหม่กับเพื่อนที่มัลดีฟส์อย่างไร ให้ฟินยิ่งกว่าไปกับแฟน!

ฉลองปีใหม่กับเพื่อนที่มัลดีฟส์อย่างไร ให้ฟินยิ่งกว่าไปกับแฟน!

ฉลองปีใหม่กับเพื่อนที่มัลดีฟส์อย่างไร ให้ฟินยิ่งกว่าไปกับแฟน!
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

"มัลดีฟส์"  แค่สาวโสดได้ยินชื่อ ก็อาจเห็นภาพคู่รักสวีทวี๊ดวิ้วในมโนสำนึกเป็นแน่แท้ แม้จะอยากไปเพียงใด แต่ถ้าเลือกได้ รอให้มีคู่ค่อยไปน่าจะฟินกว่าใช่ไหมล่ะ แต่!! ไม่ค่ะ สำหรับจูนและเพื่อนสาวคนสนิทผู้ซึ่งเกาะคานทองมาอย่างเหนียวแน่นควบคู่กัน กลับกระตือรือร้นที่จะไป คิดปุ๊บ คุยกันไม่ถึง 5 นาที จองตั๋วเลย (ตั๋วโปรนะบอกก่อน5555555) ที่ต้องจองเลย เพราะเมื่อไหร่ที่เรานัดกันล่วงหน้านานๆ มักจะแป้กเสมอ อันนี้เชื่อว่าหลายกลุ่มก็เป็นใช่ไหม อิอิ และใครที่ยังไม่มีแพลน เที่ยวปีใหม่ มัลดีฟส์เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจที่จะชวนเพื่อนไป และถ้าไปแล้วไม่อยากทำกิจกรรมทางทะเลที่ชาวบ้านชาวเมืองเขานิยมทำกัน ลองอ่านกิจกรรมประหลาดๆของจูนกับเพื่อนดูก่อนก็ได้ค่ะ จะได้รู้ว่า จริงๆมัลดีฟส์ ไม่ใช่คู่รักไปแล้วก็ฟินได้เหมือนกัน^^

 

เสริมเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยนิดนึงนะคะ ถ้าไปเที่ยวมัลดีฟส์แบบเข้าไปในเมือง ต้องแต่งตัวมิดชิด เพราะชาวเมืองนับถือศาสนาอิสลาม 99% แต่หากคุณอยู่แค่ในเกาะ อยากไปเล่นน้ำ นอนริมหาดสวยๆ จะใส่ชุดไหนก็จัดไปค่ะ แค่อย่าแก้ผ้าเป็นใช้ได้

 

เอาล่ะค่ะ วันเดินทางมาถึง จูนกับแก้วไปกันทั้งหมด 4 วัน 3 คืน จัดแจงลางานกันเสร็จสรรพ อุปกรณ์การถ่ายภาพพร้อม ทริปนี้กะว่าภาพคงท่วมเมมแน่ๆ แล้วก็คิดไว้แล้วว่า มันจะต้องมีเหตุการณ์เซอร์ไพร้ส์เกิดกับทริปนี้ เพราะเราสองคนเมื่อไหร่ที่ไปไหนด้วยกันไม่เจอผีก็จะเจอเรื่องโกลาหลแน่นอนค่ะ แล้วก็จริง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกฏแรงดึงดูดที่ดันคิดไว้หรืออะไรก็มิทราบได้ เรื่องก็เกิดค่ะ

 

หลังจากเติบโตอยู่บนเครื่องบิน 4 ชั่วโมงนิดๆ พอลงมาก็จะง่อยเปลี้ยหน่อยๆ ตอนที่จองโรงแรม ส่งเมลบอกเรียบร้อยว่าเราจะเข้าโรงแรมด้วยสปีดโบ๊ท เพราะเห็นราคา Seaplane แล้วจะกระอักเลือด ไปกลับเป็นหมื่น! ทริปประหยัดอย่างเราๆไม่สู้ค่ะ ขอสปีดโบ้ทพอ ซึ่งสปีดโบ้ทนี่ก็ทำเอาเหงื่อตกใช่ย่อยนะคะ ไปกลับ 6 พันฝ่าๆ และพอเราลงจากเครื่องบินปุ๊บ เจอ ตม.ยิ้มแย้มแจ่มใสดีนะคะ แต่คำแรกเขาทักเราที่เป็นหญิงสาวผิวน้ำผึ้ง หน้าไทยคมมาเองว่า "หนีห่าว" นี่ก็หน้ามึนบอกหนีห่าวเหมือนกัน แล้วเขาก็ชวนคุย คุยไปคุยมาชวนอยู่เป็นเดือนเลยจ้าาาาาา แต่ก็ผ่าน ตม.มาได้ด้วยดี ตอนนั้นก็งงกับเพื่อนบอกนางอยู่นะว่า ทำไมเขาทักเราเป็นภาษาจีน ก็มองเพื่อนแล้วก็คิดว่า สงสัยเห็นเพื่อนขาวๆ ตาตีๆ คงคิดว่าจีนล่ะมั้ง แต่เพื่อนก็ยืนยัน เขาคุยกับเรา ไม่คุยกับเพื่อนเลย ก็ยังไม่เชื่อเพื่อนนะ ปล่อยไปค่ะ ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ เรื่องสำคัญมันอยู่ตรงนี้ค่ะ

ตามอีเมลที่ได้รับ โรงแรมบอกให้ไปที่เคาน์เตอร์ 34 เราก็ตรงดิ่งไปเลยค่ะ แต่ทุกอย่างมันเกิดขึ้นไวมาก จูนผงะเมื่อเห็นชื่อตัวเองและสหายไปอยู่ยานพาหนะที่เรียกว่า "Seaplane"  หลังจากโต้เถียงกับพนักงานอยู่สักพักก็ไม่เป็นผล เขาบอกเพียงว่า โรงแรมบอกมาแบบนี้ จูนจัดการโทรหาคนที่เราดีลกับเขาทันที เขาบอกให้รอก่อน เดี๋ยวโทรกลับมา พูดแบบนี้จนทั้ง Seaplane ทั้งสปีดโบ้ทรอบสุดท้ายจะหมดแล้วค่ะ และสุดท้าย ได้ยินเจ้าหน้าที่ที่ให้บริการ Seaplane ประกาศเรียกชื่อสองสาวไทย ให้ไปขึ้น Seaplane ด่วนๆ นี่ก็มองหน้ากันเลิ่กลั่ก ยังไงๆ จนมีเจ้าหน้าที่ผู้ชายเดินมาตาม เดินนำไปเลย ก็เลยตัดสินใจว่า

"เอาวะ เป็นไงเป็นกัน"

และไหนๆก็ไหนๆ ในเมื่อมันเกิดเหตุๆไม่คาดฝันแบบนี้ งานภาพที่ระลึกต้องมาค่ะ

พอไปถึงที่พัก ตกลงกันว่าจะทำหน้าบอกบุญไม่รับ เพราะเรามีหลักฐานยืนยันทางอีเมล และนี่ไม่ใช่ความผิดพลาดของเรา ต้องเจรจาให้รู้เรื่อง แต่!!! เมื่อไปถึงฟร้อน เขาเหมือนรู้ค่ะ พอปากจะอ้า ท่าปางห้ามญาติของเขาก็มาทันที จากนั้นก็เชิญจูนไปนั่งที่เคาน์เตอร์ ให้อ่านเอกสารการชำระเงิน พออ่านปุ๊บ อู้หูวววว จากวิกฤติ เป็นโอกาสเฉย ได้นั่ง Seaplane ราคาสปีดโบ้ท! (แต่นั่งแค่ครั้งเดียวนะคะ เพราะขากลับต้องนั่งตามที่เราแจ้งไว้แบบเดิม) ซึ่งเท่ากับว่าครั้งได้ลองทั้งสองแบบ ถือว่าคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม

พอเช็คอินเรียบร้อย ตอนนั้นบ่ายคล้อยแล้วล่ะ แต่แดดยังแรงอยู่ เวลาที่มัลดีฟส์ช้ากว่าที่ไทย 2 ชม.ค่ะ ระหว่างนี้เราก็นอนเล่นในห้องพัก นอนรอแดดร่มลมตกตาวิถีไทยสไตล์ที่ไม่ชอบเที่ยวตอนแดดจ้า และเมื่อแสงแดดเห็นใจเราแล้ว จูนกับสหายก็เริ่มออกสำรวจเกาะ เก็บภาพบรรยากาศเอาไว้ ว่าครั้งหนึ่งเคยมากัน 2 ชะนี เก๋ๆ

 

ในเมื่อไม่มีช่างภาพส่วนตัว ก็ต้องยืนด้วยลำแข้ง แบกขาตั้งกล้องจากไทยแลนด์แดนสยามติดไปด้วย แถมยังแอ๊บใสใสไหลเย็นเห็นตัวปลา ทำทีหัวเราะครุคริกันอีกต่างหาก

เพื่อนสาวนางได้ไอเดียว่าเราควรหมุนรอบตัวเองกันทุกวันจนกว่าจะกลับ ก็ทำซะหน่อยค่ะ ไหนๆก็ไหนๆ ใส่เสียง2 ให้ด้วยค่ะ^^ 

ทุ่มครึ่ง ได้เวลาอาหารเย็น เราสองคนไปกินอาหารเย็นกัน ตอนแรกคิดว่าที่นี่จะไม่มีเมนูหมูให้ซะแล้ว เพราะประชากรที่มัลดีฟส์ 99% นับถือศาสนาอิสลาม แต่ผิดคาดค่ะ! เมนูหมูพรึบพรับ และนักท่องเที่ยวที่นี่ เป็นชาวยุโรปประมาณ 90% ค่ะ อาหารก็จะเลี่ยนๆ หน่อยๆ บุฟเฟ่ต์ มีหมู ไก่ สปาเกตตี้ แต่มีข้าวแบบท้องถิ่น จะไม่เหมือนข้าวไทย จะมี 2 แบบ สีขาวนี่จะเม็ดเรียวมาก แต่ว่ามันแห้งๆแปลกๆ ส่วนอีกแบบสีจะต่างกันจำไม่ได้ว่าสีอะไร ที่สำคัญลืมถ่ายภาพมาด้วยนี่สิ ซึ่งเพื่อนสาวของจูนเด็ดสุดค่ะ นางพกปลาร้ามาจากไทยจ้าาาาาาา แซ่บลืมมมมม กลบอาหารเลี่ยนๆได้ชะงัดนัก ส่วนจูนก็พกมาม่ารสต้มยำทะเลติดมาด้วย จะได้มีความเผ็ดขึ้นมาบ้าง  

กินอาหารเสร็จ เราสองคนก็เม้าท์มอยตามประสาหญิงสาว แล้วก็นอนหลับกันไปด้วยความเหนื่อยก่อน คร่อกกกกกกกกZz_zZ

Day2

ทริปนี้บอกไว้ก่อนเลยว่า เสื้อผ้า และพร็อพเราไม่ได้นัดกันมาแต่อย่างใด แต่!อาจเป็นเพราะด้วยความเป็น B1 B2 กันมาตั้งแต่สมัยเฟรชชี่เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ทำให้จัดเครื่องแต่งกายมาละม้ายกันมากเลยทีเดียว และวันนี้ล่ะค่ะ เราจะเริ่มทำกิจกรรมที่คนมาทะเลเขาไม่ทำกัน เราไม่พายเรือคายัค ไม่ออกไปสำรวจเกาะอื่น แต่เราเดินสำรวจในเกาะที่เราพัก แล้วเราก็ซุ่มทำกิจกรรมบางอย่าง เดี๋ยวมีเฉลยค่ะ อิอิ ระหว่างวันก็เก็บภาพไปเรื่อยๆ

ภาพนี้จำได้ว่า เพื่อนสาวนางโพสแล้วเขียนแคปชั่นไว้แดกดันตัวเองและจูนไว้อย่างเห็นภาพ จนคิดว่า ไม่เอามาใส่ในนี้ไม่ได้แล้ว นางเขียนว่ายังไงมาดูกันค่ะ

"ทริปนี้นัดมาอย่างเดียวคือมาเที่ยวด้วยกัน เรื่องชุดไม่ได้นัดเลย สีชุดก็ไม่ได้นัด แต่มันเหมือนกันราวกับนัดกันมา แต่ที่ไม่ต้องกังขาคือ เรื่องการโพสและสไตล์การแต่งตัว ฝั่งซ้ายจะมีกลิ่นอายความป้า ฝั่งขวาราวกับชาติที่แล้วเกิดเป็นนางพญาหนอนด้น มีความบิด มีความโพส มีความเลื้อย ติดตัวมาถึงชาตินี้"

ก็ตามนั้นล่ะค่ะท่านผู้โช๊มมมมมมมมมมมมม อิอิ เอาล่ะ ขอโชว์วิวบ้าง เดี๋ยวจะเบื่ิอหน้ากันซะก่อน

ชอบความฟ้าๆเขียวๆของน้ำกับสีท้องฟ้า บอกเลยว่า ตอนนั้นมันฟินสุดพลังจริงๆ 

มาทั้งทีอยากลองลงน้ำช่วงแดดจัดๆ กันดูบ้าง แต่...ลงไปได้แป๊บเดียว เกรียมเหมือนพร้อมเซ็นไหว้ราหูเลยต้องรีบขึ้น แต่ก็นะ วิถีเซเลบ(ขบ) ทำทีให้สหายถ่ายรูปเผลอๆ

 

สวยสงบจนไม่อยากกลับ

 

ก่อนลงเล่นน้ำช่วงเย็น เหมือนเดิมค่ะ ต้องหมุนรอบตัวองกันก่อน ด้วยเสียง2 ของจูนเอง อันนี้คิดว่าไม่น่าใช่2 น่าจะเสียง8 

แล้วความเสร่อไม่เข้าใครออกใครค่ะ ประเด็นคือ ก่อนที่เราจะไปเล่นน้ำในยามเย็นนั้น เราเป็นประเภทแต่มองตาก็รู้ใจ หรืออีกนัยคือ แค่มองตาก็นินทาคนได้ เราสองคนเจอชายหนุ่มชาวเอเชีย กำยำล่ำสัน ผิวสองสี หุ่นดีสุดพลัง หน้าก็ดูดี เรามองหน้ากันอย่างมีเลศนัย และเพื่อนสาวค่ะ นางหมายมาดก้าวตรงดิ่งไปที่ผู้คนนั้น และจูนเองก็มองตามไป เราสองคนไม่ได้สังเกตว่า มีนกน่าจะวัยรุ่นได้ นั่งอยู่บนเสาที่เรากำลังจะชน ด้วยความที่พวกเราเดินเร็ว นกคงตกใจ นางกระปีก "พรึบพรับๆ" ใส่หน้าเพื่อนสาว นางกรีดร้องดังลั่น จนฝรั่งหัวเราะกันยกใหญ่ และนี่คือรูปร่างของนกที่ว่า เป็นลักษณะนี้ค่ะ แต่ตัวเดียวกันหรือเปล่าไม่ชัวร์

โฉมหน้าของลักษณะนกผู้เคราะห์ร้าย เจอชะนีหื่นกระหายไม่มองทางจะชนเอาทั้ง 2 นาง

ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า ที่มัลดีฟส์ รักษความสะอาดดีมาก ไม่มีขยะลอยให้เห็นสักชิ้น แล้วระบบนิเวศดีเวอร์ ปลา นก สัตว์แปลกๆ ยังมีอยู่ ใช้ชีวิตรวมกับคนบนเกาะได้อย่างสบายๆ มีกระเบนราหูที่ทุกเย็นนักท่องเที่ยวชอบไปถ่ายรูป แล้วก็มีฉลามน้อยหอยสังข์แหวกว่ายอยู่หน้าห้องพักของจูนด้วยค่ะ

 

เตรียมพร้อมเล่นน้ำค่ะ

Day3 

วันนี้เราก็ยังทำภารกิจที่ยังคงต้องทำอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังคงเก็บภาพบรรยากาศระหว่างทางเข้าไปด้วย

แอบสงสัยว่าทำไมที่นั่งกินข้าวตรงนี้ถึงล็อกกุญแจแน่นหนา แล้วก็ได้คำตอบเมื่อพนักงานบอกว่า เป็นที่พิเศษ จะกินข้าวตรงนี้ก็มื้อละ 6 พันกว่าบาทนาจา ก็หยุดถ่ายรูปแค่นี้ดีกว่าเนอะ^^

 

ทางเดินในเกาะ

 

 

เดินเล่นถ่ายรูป ทริปนี้เน้นเก็บภาพชิลล์ๆ

ร้อนแค่ไหนก็ไฝ้ว เอาซี้!

มั่นแค่ไหน ถามใจพวกเธอดูววววว

กิจกรรมสำคัญห้ามลืม หมุนรอบตัวเองด้วยเสียง 2 


พระอาทิตย์เริ่มตก เวลาแห่งการเล่นน้ำเวียนมาบรรจบอีกระลอก

โทนสีนี่ก็ไม่ได้นัด แม้จะจัดคนละแนวก็เหอะ

ตอนเด็กๆฝันอยากเป็นเมอร์เมด นี่ก็มโนแจ่ม ว่าตัวเองกำลังเป็นเมอร์เมด^^

หลังจากเล่นน้ำกันอย่างหนำใจแล้ว ก็ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วไปกินข้าว คราวนี้ก็ประหลาดใจอีกแล้วค่ะ เชฟทักว่า "หนีห่าว" อีกแล้ว แล้วเขาถามด้วยว่า มาจากจีนเหรอ คราวนี้กังขาสุดพลัง ตั้งแต่เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ ผิวอันคร้ามแดดของจูนไม่เคยมีใครทักว่าเชื้อจีน ซ้ากกกกกคน ก็เลยบอกว่า มาจากไทยแลนด์ เขาก็ชวนคุยเหมือนจะไม่ค่อยเจอคนไทยเท่าไหร่ และหลังจากอิ่มหนำกันแล้ว ไปนั่งดื่มค็อกเทลเบาๆ ที่บาร์ของเกาะ แต่มันก็จะมืดๆหน่อยๆ ภาพไม่สวยเลยไม่ได้อัพลงนะคะ ต่อจากนั้นเราสองคนก็ไปเดินดูของฝาก ตอนกำลังจะจ่ายเงิน คนขายน่ารักมาก เขาถามว่า มาจากจีนเหรอ (อีกแล้ว) พอบอกไทยแลนด์ เขาบอกว่า เกาะนี้ไม่ค่อยมีคนไทยมา จะมีฟิลิปปินส์ อินโดมากันเยอะ เขาลดราคาของฝากให้ด้วยนะ เขาบอกว่า คนเอเชียเหมือนกันเขาจะลดให้ ถ้ายุโรปจ่ายเต็ม รู้สึกหัวใจพองโตมากค่ะ บอกเลย 

สิ่งที่จูนสังเกตได้อีกอย่างคือ เกาะที่จูนไปเงียบมากๆ การเที่ยวของนักท่องเที่ยวยุโรปกับเอเชียก็มีความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด ฝั่งยุโรปการพักผ่อนของเขาคือพักจริงๆ นอนอาบแดด ดำน้ำ ที่นี่ส่วนมากจะมาเป็นคู่กับเป็นครอบครัว คู่รักก็จะสวีทวี๊ดวิ้ว จูบกันตอนพระอาทิตย์ตก (แอบอิจเบาๆ) บางคู่ก็มาถ่ายพรีเวดดิ้ง ไม่ค่อยเห็นคนยุโรปเล่นมือถือตลอดเวลาเหมือนคนเอเชีย แถมเวลาถ่ายรูป ช่วงเย็นที่มีสิงสาราสัตว์ออกมาให้ยลโฉมในน้ำ เขาก็จะมุงถถ่ายรูปสัตว์กัน หรือตอนที่เชฟทำอาหารแปลกๆ เขาก็จะถ่ายวีดีโอการทำอาหารของเชฟ ซึ่งตัดภาพมาที่จูนและเพื่อน รวมถึงคนไททยอีกคู่ที่นั่ง Seaplane มาด้วยกัน เดินไปเจอกันในเกาะโดยบังเอิญ ตอนเจอกัน เราใส่เสื้อคลุมกลัวแดดเหมือนกัน แบกขาตั้งกล้อง ถ่ายภาพตัวเองกับวิวเหมือนกันไม่มีผิด และจะยังไม่ลงเล่นน้ำช่วงที่แดดจัดเหมือนกัน ซึ่งช่วงเวลานี้ชาวยุโรปทั้งหมดทั้งมวลจะเล่นน้ำ อาบแดดกันจริงจัง สลับเวลากับชนชาวเอเชียอย่างชัดเจน ยิ่งช่วงบ่ายของวันที่ 3 มีทัวร์จีนมาลง ลักษณะการเที่ยวก็จะเหมือนๆกับพวกเราชาวไทย ตอนเย็นย่ำค่ำสนธยา เมื่อจูนและเพื่อนลงเล่นน้ำในสระ ไม่นานนักทัวร์จีนกลุ่มที่เพิ่งมาวันนี้ก็ลงเล่นน้ำเช่นกัน แต่เวลานี้เป็นเวลาที่ชาวยุโรปเลิกเล่น แล้วขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า จิบไวน์กันหมดแล้ว ได้เห็นวัฒนธรรมที่แตกต่างก็รู้สึกดีเหมือนกันนะคะ:)  

Day 4

วันนี้ต้องออกแต่เช้า ก็ขอเก็บภาพเป็นที่ระลึกก่อนขึ้นสปีดโบ้ทสักหน่อย

มันก็จะจิกหน่อยๆ แต่ดูไปดูมาก็ไม่คิดว่าจะหน่อยนะ อิอิ

นั่งสปีดโบ้ท ลมทะเลโกรกหน้า ฟินเวอร์ พอเทียบกันระหว่าง Seaplane กับสปีดโบ้ท จูนกับเพื่อนชอบสปีดโบ้ทมากกว่านะ มันเหมือนได้สัมผัสกับธรรมชาตที่แท้ทรู

กิจกรรมที่ซุ่มแอบทำ เป็นอะไรที่จะจำไม่รู้ลืม

ตอนนี้จะเฉลยแล้วค่ะ ว่ากิจกรรมที่จูนกับเพื่อนทำคืออะไร บอกเลยกิจกรรมนี้ พวกเราชอบทำกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย เพราะจะทำให้เราได้เห็นเทรนด์ในตอนนั้น ได้เก็บความสุขที่มี และได้เก็บมิตรภาพเอาไว้ดูได้ตลอก ซึ่งกิจกรรมที่ว่าก็คือ...

พวกเราตระเวนเต้นปานามาไปทั่วเกาะ โดยแต่ละวันจะต้องไปในจุดที่ไม้ซ้ำ แต่ที่ประทับใจสุดพลัง คือวันที่สาม จุดสุดท้ายที่เต้น มีฝรั่งหญิงคนหนึ่งคาดว่าเขาคงสังเกตพวกเรามานานแล้ว ในขณะที่เรากำลังเต้นกันอยู่ เขายืนดูแล้วยิ้ม แล้วเขาก็ถามว่า เขาสามารถยืนดูพวกเราได้ไหม ซึ่งแน่นอนว่าพวกเรายินดี เขาถามว่า เราถ่ายไปลงอะไรกัน เราก็ตอบไปว่า ถ่ายไปลงเฟซบุ๊ค เราก็ชวนเขามาจอยด้วย แต่เขาขอยืนดูอย่างเดียว พร้อมรอยยิ้มอย่างเป็นมิตร พอพวกเราเต้นเสร็จ เขาปรบมือให้พร้อมบอกว่า Perfect! เป็นเรื่องราวดีๆ ระหว่างทางที่พวกเรารู้สึกดีมากๆค่ะบอกเลย มิตรภาพมีอยู่ทุกที่ทุกมุมโลกจริงๆ:)

ทริปมัลดีฟส์ครั้งนี้กับเพื่อนสาวเป็นอะไรที่ประทับใจมากๆ เราไม่เล่นกิจกรรมผาดโผน แต่เที่ยวแบบคอเดียวกัน เป็นประเภทแค่มองตาก็นินทาคนได้ เป็นมิตรภาพที่อบอุ่น ไปสองคนก็สนุกได้ แต่เราสองคนก็บอกเหมือนกันว่า "ครั้งหน้าแยกกันมากับแฟนเถอะ"  อิอิ

 

 

Maldives, I will come back again :)

 

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook