ความเชื่อเรื่องคอลลาเจนผิวขาว เรื่องลวงโลกที่สาวๆ ต้องรู้
“คอลลาเจนผิวขาว” คำโฆษณาชวนเชื่อที่มักจะถูกแปะเอาไว้ตัวหนาเน้นๆ ที่หน้าผลิตภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นอาหารเสริมหรือครีมบำรุงอะไรก็ตามแต่ ทำให้สาวๆ ที่รักสวยรักงามหลงเชื่อหัวปักหัวปำกันมาแล้วนักต่อนักว่าแท้ที่จริงคอลลาเจนในร่างกาย คือตัวช่วยทำให้ผิวขาวเป็นคุณสมบัติหลัก เน้นความใส สวยเป๊ะ ผิวเต่งตึงอย่างเป็นธรรมชาติ เอาแบบว่าเปลี่ยนผิวคล้ำตามธรรมชาติของตัวเองให้กลายเป็นสาวผิวขาวโอโม่กันเลยทีเดียว
จากความเชื่อทั้งหมดทั้งมวลเหล่านี้ บอกได้คำเดียวว่าเป็นความเชื่อแบบผิดๆ อย่างร้ายแรงที่สุด เพราะคุณสมบัติของคอลลาเจนไม่ได้ช่วยให้ผิวขาวแม้แต่นิดเดียว มันไม่ได้มีคุณสมบัติไปเปลี่ยนกระตุ้นเม็ดสีในร่างกาย วัตถุประสงค์ในการกินเผื่อให้ผิวขาว จึงไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอน แต่หากจะมีใครค้านว่ากินแล้วตัวเองผิวขาวขึ้นแล้วล่ะก็ นั่นอาจจะมาจากส่วนผสมของสารอื่นๆ ที่เป็นอันตรายไปทำให้เม็ดสีผิวเปลี่ยนแปลงจนผิวดูขาวใสขึ้นนั่นเอง
คอลลาเจนกินแล้วขาว ไม่มีจริง!
เปลี่ยนความคิดของตัวเองกันใหม่เสียตั้งแต่วันนี้เป็นดีที่สุด เพราะคอลลาเจนที่มีวางจำหน่ายอวดอ้างสรรพคุณว่าเป็นคอลลาเจนผิวขาว แม้จะยี่ห้อดังสักแค่ไหน รับรองว่าจะซื้อมาสักกี่ร้อยกล่อง กินเข้าไปยังไงก็ไม่มีทางขาวอย่างแน่นอน ก็เพราะคอลลาเจนเป็นรูปแบบของ "โปรตีน" ชนิดหนึ่งที่พบในร่างกาย และพบได้ในผักและผลไม้ เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วจะถูกย่อยให้กลายเป็นกรดอะมิโนขนาดเล็กที่ร่างกายดูดซึมไปใช้งานได้
และหน้าที่ของเจ้ากรดอะมิโนนี้ ก็มีหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการเข้าไปทำหน้าที่เพิ่มเติมเนื้อเยื่อในส่วนที่เสียหาย เป็นองค์ประกอบของผิวหนัง เส้นเอ็น กระดูก ข้อต่อ และเนื้อเยื่ออื่นๆ มากมายก่ายกอง โดยไม่มีหน้าที่เข้าไปทำให้ผิวขาวขึ้นแต่อย่างใด นอกเสียจากช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื้นมากขึ้น เพราะมันช่วยเรื่องความยืดหยุ่น ผิวสำหรับคนที่อายุยังน้อยจะมีปริมาณคอลลาเจนตามธรรมชาติมากกว่าในวัยผู้สูงอายุ นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เรารู้ว่าทำไมเมื่อเข้าสู่วัยชราผิวจึงดูแห้งเหี่ยว เกิดริ้วรอย ก็เพราะคอลลาเจนใต้ชั้นผิวหนังสูญเสียไปนั่นเอง ส่วนเรื่องของเม็ดสี ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับคอลลาเจนเลยแม้แต่นิดเดียว
โดยสรุปแล้วคอลลาเจนไม่ได้ช่วยทำให้ผิวขาว แต่มีหน้าที่ช่วยทำให้ผิวยังคงความเต่งตึงเอาไว้ได้นานเท่าที่มันจะทำได้ ปริมาณคอลลาเจนที่ร่างกายต้องการก็ไม่ได้มากมายมหาศาลเป็นพันมิลลิกรัมตามที่โฆษณาระบุไว้ เพราะฉะนั้นแค่ผักและผลไม้เป็นส่วนประกอบของมื้ออาหารในแต่ละวัน ก็ถือว่าเพียงพอกับความต้องการได้แบบไม่ต้องเสียเงินไปเพราะความเชื่อผิดๆ กันอีกต่อไปแล้วล่ะค่ะ