แค่อ้วน มันผิดตรงไหน ....เสียงจากแอร์-สจ๊วต อ้วน

แค่อ้วน มันผิดตรงไหน ....เสียงจากแอร์-สจ๊วต อ้วน

แค่อ้วน มันผิดตรงไหน ....เสียงจากแอร์-สจ๊วต อ้วน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

สายวันที่ 28 ก.พ. กลุ่มพนักงานต้อนรับที่ได้รับผลกระทบจากคำสั่งดังกล่าวได้มารวมตัวกันเพื่อ หารือถึงปัญหาและแนวทางในการต่อสู้ ที่องค์กรแห่งหนึ่ง โดยมีพนักงานมาร่วมหารือกันกว่า 20 คน ใช้เวลาพูดคุยกว่า 3 ชั่วโมง

นายสุเทพ (นามสมมติ) หนึ่งในตัวแทนพนักงานต้อนรับที่เข้าร่วมหารือ เปิดเผยผลการหารือว่า ทางกลุ่ม จะเดินหน้าพึ่งกระบวนการยุติธรรมอื่นเนื่องจากทางคณะกรรมการกิจการสัมพันธ์ ของบริษัท ไม่สามารถให้ความเป็นธรรมได้

โดยจะยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติโดยเร็วที่สุด ภายในสัปดาห์นี้ เนื่องจากเห็นว่าคำสั่งที่บริษัทออกมา ละเมิดสิทธิแรงงาน และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และจะยื่นฟ้องศาลแรงงานด้วย

ตัวแทนพนักงานต้อนรับคนดังกล่าว ยังยืนยันว่า ไม่ได้เป็นกลุ่มคนส่วนน้อย หรือ เพียง 1 % ตามที่ฝ่ายบริหารระบุ แต่เป็นพนักงานกลุ่มแรกที่โดน ทั้งนี้ไม่ได้มีเพียง 41 คนเท่านั้น เพราะตารางบินเดือนมีนาคมมีพนักงานถูกลดเกณฑ์การบินอีก42 คน เดือนเมษายนอีก 20 คน และจะทยอยโดนลดเกรดการบินเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และแม้เงินเดือนจะไม่ถูกลด แต่โดยข้อเท็จจริงแล้วเบี้ยเลี้ยงต่างประเทศนั้น พนักงานต้อนรับฯต้องเสียภาษีเงินได้มาตลอด

"ในเมื่อคณะกรรมการกิจการสัมพันธ์ ไม่ได้ทำหน้าที่สร้างความสัมพันธ์ พวกผมก็ไม่หวังพึ่งอะไรอีกแล้ว และอยากฝากถามไปยังฝ่ายบริหารว่า การใเปลี่ยนตารางบินไป - กลับในวันเดียวกันนั้นทำเพื่ออะไร เพื่อลงโทษหรือช่วยเหลืออย่างที่บอกกันแน่ มันเป็นการทำร้ายจิตใจอย่างแท้จริง"

 


นายสุเทพ ยังกล่าวอีกว่า ผลจากการที่ผู้บริหารลดเกรดการบิน ส่งผลให้พนักงานต้อนรับหลายคนประสบปัญหาอย่างมาก ขณะนี้พนักงานต้อนรับฯหญิงและชายบางคน ต้องหันมาทำอาชีพเสริม เช่น สอนพิเศษภาษาอังกฤษ ทำธุรกิจขายตรง และรับจ๊อบเป็นพิธีกรต้องทำงานอื่นเพื่อทดแทนรายได้ที่หายไป

ด้านนายธงไชย (นามสมมติ) พนักงานต้อนรับชายฯ หนึ่งในผู้ที่โดนลดเกรดการบิน สะท้อนว่า พนักงานต้อนรับทุกคนทำงานเพื่อบริษัท พวกเราได้ผ่านวิกฤตเรื่องน้ำมันแพง โรคซาร์ส ไข้หวัด 2009 ซึ่งพนักงานทุกคนเสียสละทำงานกันอย่างไม่กลัวอะไร แต่ผู้บริหารกลับนำเรื่องความอ้วนมาลงโทษ เหมือนรังแกพนักงานแบบไม่ยุติธรรมเลย

"เราเป็นคน เรื่องความอ้วนไม่ใช่ความผิดร้ายแรง หรือ ผิดวินัย และไม่ได้อ้วนเทอะทะจนทำงานไม่ได้ พวกเรายังทำงานได้ดี การที่บอกว่ามีบีเอ็มไอ และรอบเอวเกินนั้น ไม่ได้มีการดูผลการตรวจโรคประกอบด้วยเลย บางคนผอมกว่าพวกเราแต่มีคอเลสเตอรอลมากกว่าอีก สิ่งที่พวกผมออกมาคัดค้านนั้น เป็นการสู้แบบสุภาพบุรุษ เราต้องการความเห็นใจ และกอบกู้ศักดิ์ศรีคืนมา"

นายธงไชย กล่าวอีกว่า ตลอดระยะเวลา 6 เดือนสิ่งเดียวที่ผู้บริหารทำ คือ การให้ไปกินผลิตภัณฑ์อาหารเสริมยี่ห้อหนึ่ง โดยให้กินฟรีช่วง 2 เดือนแรก เป็นโปรตีนเสริม พอครบ 2 เดือน ถ้าใครพอใจก็สามารถซื้ออาหารเสริมยี่ห้อนั้นมารับประทานต่อในราคาทุน ซึ่งอาหารเสริมดังกล่าวที่บริษัทจัดให้นั้น ไม่สามารถนำเข้าในบางประเทศได้ และยังส่งผลให้พนักงานต้อนรับบางคนมีอาการข้างเคียง เช่น อาการขาดน้ำตาล เบลอ หลายคน จึงตัดสินใจเลิกกิน ขณะที่บางคนป่วยเป็นโรคไทรอยด์ และหัวใจ การลดน้ำหนักจึงยาก

"หลังจากที่บริษัทออกกฎนี้มาหลายคนเครียด อยากบอกว่าไม่มีใครอยากอ้วน ไม่มีใครที่ไม่อยากดูดี เราทุกคนพยายามทำตัวให้ดูดี หลายคนสติแตก บางคนแห่กันไปกินยาลดความอ้วนจนเบลอ บางคนยิ่งเครียดก็ยิ่งอ้วนขึ้น ล่าสุดมีพนักงานต้อนรับชายคนหนึ่ง เขาเครียดมาก เพราะต้องลดน้ำหนักเกือบ 20 โล พยายามไปลดน้ำหนักกับโรงพยาบาลชื่อดังจนหมดเงินไปเยอะ กินยาลดน้ำหนักก็เยอะ ซึ่งช่วงระยะเวลาภายในเวลา 6 เดือน ทำให้น้องคนนี้เครียดและกดดันจนต้องไปพบแพทย์ทางด้านจิตเวช"


ไม่ต่างจาก วนิดา (นามสมมติ) พนักงานต้อนรับสาวฯ กล่าวว่า หลังจากที่ตกอยู่ในกลุ่ม BMI เกิน โดนเพื่อนพนักงานดูถูก และล้อเลียนว่าเป็นพวก BMI ขอยืนยันว่ายังสามารถทำงานได้เป็นอย่างดี ส่วนใหญ่ที่บอกว่ามี BMI เกินนั้น จะมีลักษณะอวบ ท้วม สิ่งหนึ่งที่อยากวอนผู้บริหาร คือ การปรับทัศนคติการประเมินพนักงานต้อนรับฯว่า น่าจะประเมินจาการให้บริการมากกกว่ารูปลักษณ์ภายนอก

"บางคนมาทำงาน มาบินไม่แต่งหน้า แต่งตัวก็ไม่ดี เสิร์ฟอาหารเสร็จไม่เคยดูแลผู้โดยสาร ขณะที่บางคนพูดจายิ้มแย้มจนผู้โดยสารประทับใจ ดิฉันเชื่อว่าผู้โดยสารไม่ได้ค่าดหวังจะเจอคนหุ่นดี แต่บริการไม่ดี จริงๆเขาคาดหวังการให้บริการมากกว่าหน้าตา รูปร่าง ถ้ามี BMI เกิน แต่เมื่อมีเหตุการณ์เขามีไหวพริบ สามารถช่วยแก้ปัญหาให้ผู้โดยสารได้ จึงอยากให้ผู้บริหารเปิดใจและเห็นใจพนักงานด้วย มาตราการเช่นนี้มันกดดันและเป็นการกีดกันเกินไป"

ด้านฝ่ายบริหารบริษัทการบินไทยฯ แถลงข่าวยินยันความจำเป็นนโยบายและคำสั่งดังกล่าว เพื่อความสามารถในการแข่งขันธุรกิจ ที่บริษัทตั้งเป้าไว้ว่า จะต้องเป็นสายการบินติด 1 ใน 3 ของเอเชีย และเป็น 1 ใน 5 ของสายการบินระดับโลก และก่อนออกคำสั่งได้พูดคุยชี้แจงกับพนักงานต้อนรับทั้งหญิงและชาย และยังให้เวลาระยะหนึง พบว่ามีเพียง 60 คน จาก 6,000 คน ที่ไม่สามารถปฏิบัติตามได้ และที่ผ่านมาบริษัทได้มีการจัดอบรมด้านสุขภาพ โดยออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด การปรับตารางบินก็เพื่อให้มีเวลาดูแลสุขภาพ และเมื่อปรับลดค่า BMI และรอบเอวได้ตามเกณฑ์ ก็จะปรับตารางบินให้เป็นปกติทันที ทั้งนี้หากพนักงานต้อนรับกลุ่มดังกล่าวยังไม่พอใจ ก็สามารถใช้สิทธิร้องขอความเป็นธรรมต่อหน่วยงานภายนอกได้ ซึ่งบริษัทก็พร้อมจะไปชี้แจงเพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกัน

ด้านนายปริญญา ศิริสารการ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ดูแลด้านสิทธิแรงงาน กล่าวว่า หากทางกลุ่มพนักงานต้อนรับกลุ่มนี้ยื่นเรื่องมา ก็พร้อมพิจารณาตรวจสอบให้ โดยความเห็นส่วนตัวมองว่า หากไม่ได้เป็นกฎเกณฑ์ที่มีอยู่แล้ว มีการปล่อยปละละเลย ไม่มีการเข้มงวดมาก่อน ก็ควรให้เวลาพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินในการลดน้ำหนักด้วย และที่สำคัญต้องคำนึงถึงสุขภาพ ควรเป็นตามหลักของแพทย์ที่ได้มาตรฐาน ถ้าผู้บริหารพิสูจน์ได้ว่า สามารถทำได้จริงและปลอดภัย ก็อาจดูชอบธรรม

"ลองให้ผู้บริหารลดดู ถ้าผู้บริหารลดน้ำหนักแล้วไม่เป็นไร ก็จะทำให้คำสั่งนี้ชอบธรรม ต้องคำนึงถึงทุกฝ่าย ไม่ใช่เอาประโยชน์จากความบอบช้ำของคนอื่น เพราะกฎแบบนี้อาจกดดันให้รีบเร่งลดน้ำหนัก จนพนักงานเสียงถึงชีวิตได้ แต่ก็เห็นใจทางการบินไทยที่ต้องแข่งขันทางธุรกิจ"

หลากหลายมุมมองและเสียงสะท้อน ท่ามกลางค่านิยมและความคุ้นชินของคนทั่วไปในสังคมที่รู้สึกว่า

พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน คือ นางฟ้า เทวดา จนลืมนึกไปว่า แท้จริงแล้ว พวกเขาและพวกเธอ ต่างเป็น มนุษย์ เหมือนเราทุกคน

 


ชวิดา วาทินชัย / รายงาน

 

 

รอบรู้เรื่องผู้หญิง คลิก..

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook