เช็คด่วน! คุณอาจกำลังเสี่ยงเป็นตาต้อกระจก

โรคตาต้อกระจก เป็นโรคที่สามารถพบได้ในกลุ่มผู้สูงอายุที่อยู่ในช่วงเลยวัยเกษียณขึ้นไป สาเหตุเกิดจากความเสื่อมสภาพของเลนส์แก้วตา ที่จะค่อย ๆ แข็งตัวและมีความขุ่นมัวเมื่อมีอายุมากขึ้น ยิ่งถ้าหากว่าผู้ป่วยมีการทานยาที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ หรือเป็นโรคประจำตัวบางชนิดมาอย่างยาวนาน ก็มีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคต้อกระจกมากยิ่งขึ้น ถ้าหากปล่อยไว้โดยไม่ทำการรักษา ก็มีความเสี่ยงที่จะทำให้ตาบอดอย่างถาวร เราจึงได้รวบรวมอาการของผู้ที่เป็นโรคตาต้อกระจกมาให้ตรวจสอบกันว่า คุณมีโอกาสเป็นโรคตาต้อกระจกหรือไม่ ?

มองเห็นไม่ชัดเหมือนเดิม

อาการเหล่านี้จะค่อย ๆ เป็นอย่างช้า ๆ จนบางครั้งผู้ป่วยแทบไม่รู้สึกตัวเลยว่ากำลังเผชิญกับโรคต้อกระจกอยู่ บางรายอาจจะตาค่อย ๆ มัวลงในระยะสั้น ๆ เพียง 1-3 เดือน แต่บางรายอาจจะใช้เวลานาน 5-10 ปี เพราะฉะนั้นลองสังเกตตัวเองดูว่า ทุกวันนี้ยังมองเห็นทุกอย่างชัดเจนดีเหมือนเดิมอยู่หรือไม่ 

มีปัญหาสายตากลับค่า

เป็นความเปลี่ยนแปลงที่สร้างปัญหาให้กับผู้ป่วยเป็นอย่างมาก บางคนที่เคยสายตายาว อยู่ดี ๆ ก็ดันมาสายตาสั้น เป็นเหตุให้ต้องเปลี่ยนแว่นใหม่ และต้องใช้ชีวิตแบบใหม่ ในขณะที่บางคนสายตาสั้น แล้วเอียงมากขึ้น ก็ต้องตัดแว่นใหม่ รวมทั้งต้องปรับตัวใหม่เช่นกัน หากเจอปัญหาแบบนี้ ก็มีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นต้อกระจก

เห็นแสงกระจาย

เมื่อมองไปที่แสงใดแสงหนึ่งเป็นเวลานาน ๆ จะเห็นแสนนั้นมีลักษณะเป็นเส้น หรือเป็นแฉกคล้ายดาวกระจายหรือพลุ บางครั้งอาจจะมองเห็นเป็นภาพซ้อนทับกัน

มองไม่เห็นในที่มืด

เป็นอาการที่มักจะพบในผู้สูงอายุ (65-70 ปีขึ้นไป) ที่มักจะมองไม่เห็นอะไรในเวลากลางคืน รวมถึงการมองเข้าไปในที่มืด แม้จะเปิดไฟสลัว ๆ แล้วก็ยังมองไม่เห็นเท่าที่ควร แต่ก็มีอีกกรณีหนึ่งก็คือ เห็นที่มืดชัดเจนมากกว่าที่สว่าง อาการเหล่านี้มักจะเป็นผลกระทบสำหรับผู้ป่วยที่ได้ทานยาสเตียรอยด์ที่ใช้ในการรักษาโรคอื่น ๆ รวมทั้งเป็นโรคเบาหวานและมีอาการเบาหวานขึ้นตา ส่งผลกระทบให้กลายเป็นต้อกระจกได้

ปัจจุบันนี้ การรักษาโรคต้อกระจกสามารถรักษาได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการสวมแว่นตา การใช้ยาหยอดตา (กรณีที่ยังไม่มีอาการรุนแรงมากนัก) รวมทั้งการผ่าตัดเพื่อสลายต้อกระจก และการผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์ตา ที่ใช้เวลาเพียงไม่นานและไม่ต้องพักฟื้นที่โรงพยาบาล หากสงสัยว่าตัวเองเป็นโรคต้อกระจก จากอาการด้านบนที่กล่าวมา ก็ขอให้รีบเดินทางไปพบแพทย์ทันที เพื่อจะได้ทำการวินิจฉัยและรักษาอาการต่อไป