ยิ้มครั้งแรก โลกแตกก็ยอม ธรรมะสร้างรอยยิ้ม ในแบบฉบับของ พระมหาสมปอง
ยิ้มครั้งแรก โลกแตกก็ยอม
เดินทางด้วยรอยยิ้ม ช่างมีสุขเกินใคร
ขนาด: 14 x 18.5 เซนติเมตร
พิมพ์โดย: สำนักพิมพ์ดีเอ็มจี
ชื่อหนังสือ: ยิ้มครั้งแรก โลกแตกก็ยอม
ผู้เขียน: พระมหาสมปอง ตาลปุตโต
พิมพ์ครั้งที่ 1: มีนาคม 2554
จำนวนหน้า: 192 หน้า
ราคา: 149 บาท
คำนำสำนักพิมพ์
‘รอยยิ้ม' เป็นสิ่งวิเศษที่โลกสรรสร้างมาคู่กับมนุษย์
แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่า อานุภาพของรอยยิ้ม ทำให้ชีวิตรื่นรมย์ขึ้นอีกเยอะ!
เคยสังเกตไหมว่า ทำไมหลายคนที่ไม่หล่อไม่สวย แต่ทุกครั้งที่ยิ้ม ก็เหมือนกับว่าโลกทั้งโลกสว่างไสวไปกับรอยยิ้มของเขาและเธอ พ่อแม่บางคนฝ่าฟันชีวิตอย่างแสนสาหัสเพื่อเลี้ยงชีพ แต่พอเห็นรอยยิ้มลูกน้อย ก็ทำให้ความเหน็ดเหนื่อยนั้นมลายหายไปสิ้น บางคนอาจตกอยู่ในห้วงภวังค์ของความเศร้า อาจจะพบเจอความสูญเสียใด ๆ แต่เพียงเห็นรอยยิ้มอันอบอุ่นของคนรัก ก็ทำให้ความเศร้านั้นเจือจางลงไปในพริบตา
เพราะรอยยิ้ม คือ อาณาจักรแห่งความสุขของมนุษย์ทุกคน!
ดังนั้นแล้ว รอยยิ้ม นอกจากจะทำให้เรื่องร้ายกลายเป็นดี สร้างมิตรภาพที่งดงาม กระชับความสัมพันธ์อย่างแน่นแฟ้น ยังเป็นต้นกำเนิดของความอ่อนโยน เพิ่มความสดชื่นให้ชีวิต มีคนให้ความเมตตาเอ็นดูมากมาย มนต์เสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของรอยยิ้มที่เกิดขึ้นอย่างไม่รู้ตัว นั่นก็คือ การเป็นที่รักของทุกคนที่ได้สัมผัส!
ยิ้มครั้งแรก โลกแตกก็ยอม เป็นหนังสือธรรมะหักมุมคิด ละมุนนุ่มลึก ให้คุณยิ้มละไมได้ทั้งวัน ตั้งแต่ลืมตาตื่น จนถึงทิ้งตัวลงนอน ผ่านธรรมะเบาสบายจากพระมหาสมปอง ที่จะสร้างรอยยิ้ม (ไม่หุบ) ตลอดทั้งเรื่อง มีข้อคิดเรียบง่ายแต่เปี่ยมด้วยสาระ เหมาะสำหรับนำไปในชีวิตประจำวัน และประยุกต์ใช้ท่ามกลางความวุ่นวายของสังคมเมือง หรือคุณผู้อ่านจะอ่านในยามพักผ่อน เพื่อเติมความสุข ลคความเครียด ก็รับรองได้ว่า ‘ไม่ผิดหวัง' อย่างแน่นอน
ฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นยิ้มน้อย ยิ้มใหญ่ ยิ้มละไม ยิ้มหวาน ยิ้มหน้าบาน ยิ้มไม่หุบ ยิ้มแหย ยิ้มเยือกเย็น ยิ้มตาหยี ยิ้มมุมปาก ยิ้มกว้าง ยิ้มทั้งน้ำตา (ถึงยิ้มไม่ออกก็จะยิ้ม) หนังสือเล่มนี้มีคำตอบครบครัน เพื่อให้รอยยิ้มครั้งแรกของคุณ สร้างความสุขให้ผู้พบเห็นและหัวใจตัวเองไม่รู้จบ เพราะรอยยิ้มไม่เคยทำร้ายใคร และเป็นการลงทุนที่แสนถูก แต่ให้ผลตอบแทนชนิดที่เรียกว่า มหาศาลอย่างคุณอาจคาดไม่ถึงเลยทีเดียว
เมื่อ ‘ยิ้มแรก'ได้ ‘แลกยิ้ม' ไม่ว่าคุณจะไปถึงที่ทำงาน ไปเจอแม่บ้าน เจอคนกวาดถนน เจอยามเฝ้าประตู เจอหัวหน้า เจอเพื่อนร่วมงาน เจอเจ้าหนี้ เจอปัญหากองใหญ่ เจอความเครียดถาโถม ลองฉีกยิ้มกว้าง ๆ ให้สิ่งที่คุณพบเจออย่างจริงใจ แล้วคุณจะพบว่า รอยยิ้มสามารถเปลี่ยนเรื่องร้าย ให้กลายเป็นดอกไม้แรกแย้มได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ ขอให้คุณผู้อ่านพบกับความสุขง่าย ๆ ที่สร้างได้ด้วยตัวคุณเอง
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
คำนิยม
ยิ้มเถอะนะหัวใจอย่าได้บึ้ง ยิ้มให้ซึ้งตรึงใจใบหน้าหวาน
ยิ้มไปเถอะยิ้มสู้หมู่ภัยพาล ยิ้มชื่นบานยิ้มนิดชวนติดใจ
ยิ้มปลอบใจตัวเองให้แกร่งกล้า ทุกข์โศกมายิ้มนิดคิดแก้ไข
พี่กับน้องเห็นกันหมั่นยิ้มไว้ คนทั่วไปยิ้มให้กันนั้นแหละดี
การยิ้มลงทุนน้อยได้กำไรมาก ทำให้โลกสดใส ทำให้ใจเบิกบาน ทำให้ทุกอย่างรอบตัวแจ่มใส คนที่ยิ้มเก่งหน้าจะมีเสน่ห์ ตรงกันข้ามคือ คนที่หน้าบูด หน้าบึ้ง หน้าจะมีเสนียด ท่านทั้งหลายลองคิดดูก็แล้วกันระหว่าง "เสน่ห์" กับ "เสนียด" อะไรน่าดูกว่ากัน ถ้าอยากให้โลกนี้น่าอยู่ต้องทำจิตให้สบาย ทำใจให้มีความสุขเพราะว่า ร่าเริงบันเทิงใจเป็นกำไรของชีวิต วันไหนหงุดหงิดชีวิตจะขาดทุน โยมทุกท่านมาดูประโยชน์ของการ "ยิ้ม" เราจะได้มาสร้างรอยหยักที่คิ้ว มาสร้างรอยริ้วที่มุมปากกัน
๑. มีเสน่ห์ หลายคนที่ไม่ได้หล่อไม่ได้สวย แต่ทุกครั้งที่ยิ้มก็เหมือนกับว่าโลกทั้งโลกสว่างไสวไปกับรอยยิ้มของเขา หลายคนไม่รู้ตัวหรอกว่า ตัวเองยิ้มสวยแค่ไหน ต้องลองยิ้มกับกระจกและสำรวจดูบ้าง จะได้รู้ว่า รอยยิ้มของเรานี้ก็น่ารักไม่เบา ดูแล้วมีความสุข
๒. มีมิตรมากกว่าศัตรู รอยยิ้มที่จริงใจและถูกกาลเทศะ จะสร้างมิตรมากกว่าสร้างศัตรู ว่ากันว่า รอยยิ้มคือเครื่องมือกะเทาะกำแพงน้ำแข็ง หรือความเย็นชาแปลกหน้าที่ผู้คนมีต่อกันได้เป็นอย่างดี ใครจะรู้ รอยยิ้มเล็ก ๆ ที่ส่งให้กันในวันนี้ อาจพาเพื่อนที่ดีที่สุดในชีวิตมาให้เราก็ได้ เช่นเราไม่เคยรู้จักใครเลย แต่เราเปิดประตูแห่งมิตรภาพด้วยรอยยิ้ม ทำให้สภาพแวดล้อมที่อยู่ข้าง ๆ เราเต็มไปด้วยมิตรภาพขึ้นมาทันที
๓. มีความสดชื่น รอยยิ้มเป็นสัญลักษณ์ของอารมณ์ที่สดชื่น เหมือนกับความสดชื่นนั้นคือต้นไม้ และรอยยิ้มก็คือดอกไม้ อารมณ์และสภาพจิตของคนเรา ปลูกต้นอะไรไว้ก็ย่อมจะออกเป็นดอกนั้น
๔. มีกำลัง หลายคนบอกว่า เมื่อเผชิญกับปัญหา ความทุกข์ หรือความยากลำบาก ให้ยิ้มเข้าไว้ จะทำให้มีเรี่ยวแรงกำลังที่จะฟันฝ่าอุปสรรคต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น เพราะว่ารอยยิ้ม คือกำลังของชีวิตอย่างหนึ่ง
๕. มีมุมมองที่ดี คนที่มีอุปนิสัยยิ้มแย้ม จะเป็นคนที่มองโลกในแง่ดี แม้ในเวลาที่มีปัญหา ก็จะยิ้มสู้ และพลิกปัญหาหรืออุปสรรคเหล่านั้นให้กลายเป็นโอกาสขึ้นมาได้ อ่านแล้วก็หันมายิ้มกันดีกว่า เพื่อสุขภาพจิตที่ดี
ดังนั้นเมื่อเห็นประโยชน์ของการยิ้มแล้ว เราจะหน้าบูดกันอยู่ไย โปรดส่งยิ้มให้คนข้างกาย ท่านจะได้รู้ว่า โลกนี้น่าอยู่ขึ้นอีกมากมาย เจริญพร
พระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
บทนำ
อาตมาเห็นข่าวตามสื่อต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ วิทยุ ต่างประโคมข่าวอุบัติภัยที่เกิดขึ้นรายวันจนสะพัดกลายเป็นประเด็นดังระดับโลก บางครั้งไม่รู้ว่าข่าวไหนข่าวจริง ข่าวไหนข่าวลือ แต่ตอนนี้ที่เป็นข่าวใหญ่ที่สุดของโลกคือ กระแสภาวะโลกร้อน มีนักวิทยาศาสตร์ นักวิชาการที่ทำการวิจัย ออกมาสรุปเป็นเสียงเดียวกันว่า อีกไม่นานชาวโลกต้องประสบภัยพิบัติครั้งรุนแรง ภูเขาน้ำแข็งขั้วโลกเหนือกำลังละลาย แผ่นดินถล่ม น้ำท่วมหนัก บางพื้นที่แล้งหนัก เหมือนว่าโลกมันใกล้จะแตกแล้ว เพราะโลกต้องปรับตัวจากการเปลี่ยนแปลงที่มนุษย์สร้างนวัตกรรมต่าง ๆ ขุดเจาะเอาทรัพยากรธรรมชาติจากพื้นโลกมาใช้อย่างไม่มีประมาณ ทำให้ธรรมชาติขาดความสมดุล จนเริ่มมีการต่อต้านจากโลกอย่างที่พวกเรากำลังประสบกันอยู่
ล่าสุด ทุกคนทุกท่านต่างได้เห็นและรับฟังข่าวการเกิดแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงขนาด 9 ริคเตอร์ ซึ่งเป็นอุบัติภัยซึ่งร้ายแรงเป็นอับดับที่ 5 ของมวลมนุษยชาติตั้งแต่ปี พ.ศ. 2443 โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่นได้รับความเสียหายครั้งใหญ่จากแผ่นดินไหว จนเกิดสึนามิซึ่งคร่าชีวิตผู้คนที่อยู่รอบชายฝั่งไปไม่นับถ้วน สิ่งที่ตามมานอกจากคราบน้ำตา เศษซากปรักหักพังของสิ่งปลูกสร้าง นี่คือ ผลของการที่โลกปฏิวัติตัวเอง
มนุษย์เราก็เช่นกัน เมื่อสภาวะต่าง ๆ มารุมเร้า มากดดัน ก็ทำให้เกิดความเครียด คับแค้นใจ ความผิดหวัง ฯลฯ เราก็ต้องปรับตัว ต้องหาทางออกให้กับปัญหาที่เราเผชิญ คุณโยมเชื่อไหมว่า สิ่งที่มารุมเร้าและยั่วยุเราให้อยากได้นั่นได้นี่ บางทีทำให้เราหวาดระแวง จิตตกต่าง ๆ นานา เหตุการณ์เหล่านี้เป็นเพียงปัจจัยหนึ่งเท่านั้น แต่สาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้เราตกเป็นทาสของอารมณ์ ปัจจัยต่างๆ ก็คือ กิเลส
แต่มนุษย์คือสิ่งมีชีวิตเดียวที่ ฉลาดปรับตัวได้มากที่สุด และมีอาวุธที่ทรงพลานุภาพมากที่สุด นั่นคือ รอยยิ้ม ซึ่งเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดมาพร้อมกับเราอยู่แล้ว และคุณโยมเชื่อไหมว่า รอยยิ้มของเราสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเองได้ และเป็นการลงทุนที่น้อยถึงน้อยที่สุด แต่ได้รับผลตอบแทนอย่างมหาศาล เปลี่ยนทุกสิ่งที่เข้ามาในชีวิต ไม่ว่าดีหรือร้าย ทำให้กลายมาเป็นมิตรที่น่ารักของเราได้อย่างสบาย
ดังนั้น อาตมาจะมาสอนและบอกถึงวิธีการคิดและการสร้างรอยยิ้มที่ออกมาจากภายใน แม้ว่าโลกจะแตก หรือจะเจอเหตุการณ์ที่เลวร้ายวนเวียนเข้ามาในชีวิต เราไม่สามารถกำหนดหรือห้ามเหตุการณ์ต่าง ๆ เหล่านั้นได้ แต่เราสามารถใช้รอยยิ้มที่เราสร้างขึ้นเอง เข้าสู้กับทุกอุปสรรคได้ และรอยยิ้มของเรานี่แหละที่จะเปลี่ยนเรื่องร้ายให้กลายเป็นดี หรือถ้าโลกแตกขึ้นมาจริง ๆ คุณโยมก็มั่นใจได้ว่า อย่างน้อยใบหน้าของคุณโยมก็ยังดูดี และจากโลกนี้ไปด้วยความสุข
อาตมาอยากแนะนำให้เรามายิ้มละไมกันทุก ๆ วัน เพราะในแต่ละวันจะมีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะทุกข์จะสุขเพียงใด เราก็ยิ้มได้กับเรื่องราวนั้นๆ เพราะรอยยิ้มจะนำความสุขมาได้จริง ๆ ถ้าไม่เชื่อ ลองไปยืนที่กระจกแล้วยิ้มให้กับตัวเอง และลองทำหน้าบูดบึ้ง แล้วคุณโยมก็นำมาเปรียบเทียบดูว่า หน้าตาแบบไหนน่ามองกว่ากัน (คิดว่าคุณโยมคงมีคำตอบกันแล้วนะ)
ฉะนั้นแล้วเรามายิ้มละไมให้แก่ทุก ๆ เรื่องในชีวิตกันเถอะนะคุณโยม!
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
บทที่ ๑ ยิ้มละไมให้ความขี้เกียจ
ความขี้เกียจ คือความรู้สึกที่มีกันทุกคน ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม ถ้ามีความขี้เกียจอยู่ เราต้องยิ้มให้มันและไล่มันออกไปทันที หรือมีอีกวิธีหนึ่งคือให้บิดน้ำขี้เกียจออก บิดจนแห้ง อย่าให้มันมาใกล้เรา ถ้าความขี้เกียจมาใกล้เราเมื่อไหร่ ยิ้มเข้าไว้แต่ไม่ต้อนรับ เชิญมันออกไปจากชีวิตเรา แต่เราต้องขยันขันแข็งด้วย แล้วเราก็จะประสบความสำเร็จ และมีความสุขทุกคนทุกท่าน
มีสำนวนพระสงฆ์อยู่ประโยคหนึ่งบอกว่า... "ขี้เกียจเป็นแมลงวัน ขยันเป็นแมลงผึ้ง ขี้หึงเป็นแมลงป่อง ขี้ใส่กล่องคือแมลงสาบ"
และยังมีคำแซวเด็กต่อไปว่า "ขี้เหม็นสาบ คือคนไม่อาบน้ำ"
พอถึงหน้าหนาวบางคนขี้เกียจอาบน้ำ เพราะมันทั้งหนาวทั้งเย็น อาตมาอยากบอกว่า การอาบน้ำเป็นเครื่องหมายของความสดชื่น ก่อนที่เราจะออกนอกบ้านไปทำงาน ออกไปเรียน ออกไปเผชิญกับโลกกว้าง ฉะนั้น ถ้าคุณโยมขี้เกียจ ให้ฝืนใจไปอาบน้ำ เพราะน้ำจะทำให้ความขี้เกียจเราเบาบางลง
บางครั้ง เราหาข้ออ้างสารพัด เช่น "ยังเช้านักนอนต่ออีกหน่อยดีกว่า ยังหนาวอยู่ รอให้อุ่น ๆ กว่านี้ค่อยตื่น ยังร้อนนัก รอให้เย็นกว่านี้แล้วค่อยไปทำงาน" ซึ่งทำให้คนเราพลาดยิ้มละไมกับพระอาทิตย์ที่กำลังทอแสงเรืองรอง ทำให้เราพลาดสูดอากาศที่ยังมีกลิ่นไอความเย็นจากน้ำค้าง อดเห็นนกที่กำลังโบยบินออกจากรังเพื่อหาอาหารในตอนเช้า ๆ และท้ายที่สุด อาตมาอยากบอกว่า บรรยากาศตอนเช้า เป็นธรรมชาติที่แสนสุดวิเศษ ฉะนั้น อย่าให้ความขี้เกียจมาบดบังสิ่งดี ๆ ที่รอเราอยู่นะคุณโยม
อาตมาอยากให้เราลืมตาขึ้นมาแล้วนั่งยิ้มให้ตัวเอง และถามตัวเองว่า เราบ้าหรือเปล่านี่ (ยิ้ม)...ไม่ใช่นะ เราลองมายิ้มกันครั้งแรก ยิ้มปั๊บ หลายคนก็อาจจะยังมึน ๆ ตึง ๆ อาตมามีวิธีแก้นะ คือให้เราพูดกับตัวเองอย่างเข้มแข็งและหนักแน่นว่า "เราจะเข้าสู่วันใหม่ด้วยรอยยิ้ม" แล้วสะบัดหน้าสองสามทีเพื่อไล่ความขี้เกียจออกไป จากนั้นก็อาบน้ำแต่งตัวไปเรียน ไปทำงาน เพื่อออกไปสู้ชีวิตด้วยรอยยิ้ม...
คือให้เราพูดกับตัวเองอย่างเข้มแข็งและหนักแน่นว่า
เราจะเข้าสู่วันใหม่ด้วยรอยยิ้ม...
แล้วสะบัดหน้าสองสามทีเพื่อไล่ความขี้เกียจออกไป
สำหรับวันนี้ก็เท่ากับว่าเรามีชัยไปกว่าครึ่งเห็น ๆ เพราะจิตใจเราเบิกบาน แล้วเราก็เอารอยยิ้มไปใช้กับคนรอบข้าง ไปใช้กับลูกค้า ไปใช้กับเพื่อน ๆ อย่างมีชีวิตชีวา อีกทั้งยังเอากำลังใจไปใช้ในการดำเนินชีวิต ไปใช้ในการแก้ปัญหา ใครพบเห็นก็ชื่นบาน ลูกค้าก็อยากซื้อของ เพื่อนก็อยากเข้ามาคุยด้วย เจ้านายก็อยากเรียกไปรับโบนัส (ยิ้ม)
เห็นไหมว่า แค่เรายิ้ม... วันนี้เราเป็นต่อเห็น ๆ!!
• ทำอย่างไรดี กับความขี้เกียจ
สถิติเฉลี่ยคนเราอายุ ๗๖ ปี รวมเป็น ๒ หมื่นกว่าวัน ๓,๙๕๒ สัปดาห์ เราหมดเวลาไปกับการนอน ๑,๓๑๗ สัปดาห์ นั่นหมายความว่าเราจะมีเวลาที่ใช้ในการดำเนินชีวิตบนโลกในนี้ ๒,๖๓๕ สัปดาห์เท่านั้น
ท่านทั้งหลายคงเคยตั้งนาฬิกาปลุกไว้ ตอนที่อาตมาอยู่ประเทศญี่ปุ่น อาตมาเองพอรู้ว่าวันรุ่งขึ้นต้องไปทำงานในตอนบ่าย ก็ต้องตั้งนาฬิกาปลุกตั้งแต่ ๗ โมงเช้า (แหม... ถ้ารู้ว่ามาเทศน์ที่ญี่ปุ่นสบายขนาดนี้ มาตั้งนานแล้ว ตอนอยู่ประเทศไทยตื่นตี ๔ ตี ๕ ตลอด)
ทุกคนทุกท่านคงไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่า ไม่เคยขี้เกียจ พอเสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น กริ๊งงงงง! เหมือนสัญญาณระเบิดเวลา.... พอลืมตาตื่นขึ้นมาก็ลังเลอีก จะตื่นหรือจะหลับต่อดี มีบางคนอาจจะกดดับแล้วหลับต่อ (หลายคนแอบยิ้มเพราะทำบ่อย) แต่สำหรับคนขี้เกียจก็ไม่อยากจะลุกจากที่นอน พอหน้าหนาวยิ่งไม่อยากตื่น อาตมาก็ต้องตื่นตอนตี ๔ ตี ๕ พอนาฬิกามันดังปั๊บ คิดในใจว่า... อืมม... ต่อสักหน่อยดีไหมหว่า ...หรือว่าจะลุกตามนาฬิกาที่เราตั้งไว้ดี
เมื่อลองนึกถึงว่า หลายท่านก็ต้องตื่นขึ้นมาในโลกนี้ ทั้งเด็กเกิดใหม่ จนถึงวัยใกล้เกิดใหม่ (วัยชรา) เพราะถ้าเราไม่ตื่น ก็คงจะแย่ ได้ไปเกิดใหม่แน่ ๆ (ยิ้ม) อาตมาจึงคิดว่า ตื่นดีกว่า...
การตื่นนอน ก็แสดงว่า เรายังมีลมหายใจ เรายังไม่ตาย เพราะฉะนั้น เราต้องตื่น ตื่นทั้งกาย ตื่นทั้งใจ ตื่นเพื่อต้อนรับวันใหม่ ต้อนรับสิ่งใหม่ ๆ และลงมือทำสิ่งดี ๆ
มีคุณโยมหลายคนกำลังมึนงงกับตัวเองว่า บางครั้งไม่อยากทำอะไรเลย พูดได้คำเดียวว่า "ขี้เกียจ" พอความขี้เกียจมาครอบงำมาก ๆ ทำอะไรก็ไม่ประสบความสำเร็จ ถ้าคุณโยมอยากมีความสุขและประสบความสำเร็จ ก็ต้องขยันขันแข็ง เราสามารถพูดกับความขี้เกียจของตัวเองตรง ๆ ว่า เราอยากประสบความสำเร็จ ถ้านายอยากให้เราประสบความสำเร็จ นายก็ต้องออกไปจากชีวิตเรานะเพราะนายกับเราคือคนคนเดียวกัน
เราสามารถพูดกับความขี้เกียจของตัวเองตรง ๆ ว่า
เราอยากประสบความสำเร็จ ถ้านายอยากให้เราประสบความสำเร็จ
นายก็ต้องออกไปจากชีวิตเรานะ เพราะนายกับเราคือคนคนเดียวกัน
อาตมาอยากบอกคุณโยมว่า โอกาสดี ๆ ไม่เคยรอความขี้เกียจนะ คุณโยมเคยไหมที่หลายครั้งไอเดียบรรเจิดเพริศแพร้วอยู่ในหัว แต่เราพ่ายแพ้ให้กับความขี้เกียจ จนต้องยอมเสียโอกาสนั้นไป เมื่อรู้สึกตัวอีกทีโอกาสนั้นก็โบยบินจากเราไปเสียแล้ว ฉะนั้นถึงเวลาที่เราจะต้องฆ่าความเฉื่อยชา ขจัดความขี้เกียจออกไปจากตัว แล้วต้อนรับความมีชีวิตชีวาของเราให้กลับคืนมาอีกครั้ง โดยอาตมามีวิธีง่าย ๆ ที่จะสลัดความขี้เกียจ ดังนี้
* เริ่มต้นจากจุดเล็ก ๆ
เริ่มต้นจากถามตัวเองก่อนว่า "มันยากไหม ถ้าเราจะทำเรื่องแค่นี้" ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ลองตั้งคำถามและข้อสังเกตกับตัวเองก่อน
* ท้าทายตัวเองเสียบ้าง
ท้าดวลกับความขี้เกียจ อาตมาอยากให้คุณโยมลองฮึดทำอะไรเพื่อเอาชนะความขี้เกียจดูบ้าง เช่น หัดตื่นเช้าใส่บาตร ออกกำลังกาย ดำน้ำ หัดว่ายน้ำลดความอ้วน เริ่มต้นอ่านหนังสือเล่มหนา ฯลฯ เมื่อทำบ่อย ๆ จะเป็นนิสัย และคุณโยมจะพบว่า การเอาชนะความขี้เกียจได้ ถ้ามีความพยายาม
* เป็นคนช่างสัญญา
คุณโยมลองสัญญากับตัวเองว่า จะไม่ยอมให้ความขี้เกียจทำลายชีวิตเราต่อไป แล้วจงทำให้ได้ จะทำให้คุณโยมเกิดแรงบันดาลใจ และมีแรงผลักดันให้คุณโยมมีความมุ่งมั่น มีเรี่ยวแรงที่จะทำให้มันสำเร็จ เพราะถ้าผิดสัญญา เราจะเสียคน
* เอาชนะความเฉื่อยขั้นสูง....ให้ได้
อาตมาอยากให้คุณโยมนึกถึงความลำบากที่รออยู่ ถ้าขืนเรายังขี้เกียจต่อไป หรือเรียกง่าย ๆ ว่า ‘ความสบายนั้นสั้น แต่ความลำบากยาวนาน' เมื่อรู้เช่นนี้ อาตมาเชื่อว่า คุณโยมคง ‘อยากลำบากสั้น แต่สบายยาวนาน'
* ให้รางวัลตัวเอง
ด้วยการพักผ่อนและผ่อนคลายอะไรก็ได้ ที่แลดูไม่เกียจคร้าน เพราะอาจนำสู่รูปแบบชีวิตเดิม ๆ คุณโยมอาจจะมอบรางวัลแห่งความขยัน ด้วยการเปลี่ยนรูปแบบการให้รางวัล เช่น ออกเดินทางท่องเที่ยว ให้รางวัลชีวิตก็จะทำให้คุณโยมมีชีวิตชีวาและได้กระตุ้นต่อมพลังในตัวเองได้อีก
แค่นี้ อาตมาคิดว่า ความขี้เกียจของคุณโยมจะต้องบรรเทาเบาบางลง แล้วคุณโยมก็ยิ้มต้อนรับความขยันได้ ณ บัดนี้!
........................................................................................................................................................................................................................................
สำนักพิมพ์ดีเอ็มจีเปิดตัวหนังสือ "ยิ้มครั้งแรก โลกแตกก็ยอม" ผลงานล่าสุดของ พระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต ในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 39 หนังสือธรรมะหักมุมคิด ละมุนนุ่มลึก ให้ยิ้มละไมได้ทั้งวัน ตั้งแต่ลืมตาตื่น จนถึงทิ้งตัวลงนอน ผ่านธรรมะเบาสบาย เพื่อให้รอยยิ้มครั้งแรกสามารถสร้างความสุขให้ผู้พบเห็นและหัวใจตัวเองไม่รู้จบ เพราะรอยยิ้มไม่เคยทำร้ายใคร และเป็นการลงทุนที่แสนถูก แต่ให้ผลตอบแทนชนิดที่เรียกว่า มหาศาลอย่างคาดไม่ถึงเลยทีเดียว
เคยสังเกตไหมว่า ทำไมหลายคนที่ไม่หล่อไม่สวย แต่ทุกครั้งที่ยิ้ม ก็เหมือนกับว่าโลกทั้งโลกสว่างไสวไปกับรอยยิ้มของเขาและเธอ พ่อแม่บางคนฝ่าฟันชีวิตอย่างแสนสาหัสเพื่อเลี้ยงชีพ แต่พอเห็นรอยยิ้มลูกน้อย ก็ทำให้ความเหน็ดเหนื่อยนั้นมลายหายไปสิ้น บางคนอาจตกอยู่ในห้วงภวังค์ของความเศร้า อาจจะพบเจอความสูญเสียใดๆ แต่เพียงเห็นรอยยิ้มอันอบอุ่นของคนรัก ก็ทำให้ความเศร้านั้นเจือจางลงไปในพริบตา นั่นเพราะรอยยิ้ม คือ อาณาจักรแห่งความสุขของมนุษย์ทุกคน
ดังนั้นแล้ว รอยยิ้ม นอกจากจะทำให้เรื่องร้ายกลายเป็นดี สร้างมิตรภาพที่งดงาม กระชับความสัมพันธ์อย่างแน่นแฟ้น และยังเป็นต้นกำเนิดของความอ่อนโยน เพิ่มความสดชื่นให้ชีวิต มีคนให้ความเมตตาเอ็นดูมากมาย มนต์เสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของรอยยิ้มที่เกิดขึ้นอย่างไม่รู้ตัว นั่นก็คือ การเป็นที่รักของทุกคนที่ได้สัมผัส "ยิ้มครั้งแรก โลกแตกก็ยอม" เป็นหนังสือธรรมะสร้างรอยยิ้ม มีข้อคิดเรียบง่ายแต่เปี่ยมด้วยสาระ เหมาะสำหรับนำไปในชีวิตประจำวัน และประยุกต์ใช้ท่ามกลางความวุ่นวายของสังคมเมือง หรือจะอ่านในยามพักผ่อน เพื่อเติมความสุข ลดความเครียด ก็รับรองได้ว่า ‘ไม่ผิดหวัง' อย่างแน่นอน ฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นยิ้มน้อย ยิ้มใหญ่ ยิ้มละไม ยิ้มหวาน ยิ้มหน้าบาน ยิ้มไม่หุบ ยิ้มแหย ยิ้มเยือกเย็น ยิ้มตาหยี ยิ้มมุมปาก ยิ้มกว้าง ยิ้มทั้งน้ำตา (ถึงยิ้มไม่ออกก็จะยิ้ม) หนังสือเล่มนี้จึงมีคำตอบให้อย่างครบครัน
เมื่อ ‘ยิ้มแรก' ได้ ‘แลกยิ้ม' ไม่ว่าจะไปถึงที่ทำงาน เจอแม่บ้าน เจอคนกวาดถนน เจอยามเฝ้าประตู เจอหัวหน้า เจอเพื่อนร่วมงาน เจอเจ้าหนี้ เจอปัญหากองใหญ่ เจอความเครียดถาโถม ลองฉีกยิ้มกว้าง ๆ ให้สิ่งที่พบเจออย่างจริงใจ แล้วจะพบว่า รอยยิ้มสามารถเปลี่ยนเรื่องร้าย ให้กลายเป็นดอกไม้แรกแย้มได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ แล้วผู้อ่านจะพบกับความสุขง่ายๆ ที่สร้างได้ด้วยตนเอง
พระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต กล่าวในงานแถลงข่าวเปิดตัวว่า "หนังสือ "ยิ้มครั้งแรก โลกแตกก็ยอม" อาตมาได้บอกถึงวิธีการคิดและการสร้างรอยยิ้มที่ออกมาจากภายในเพื่อสู้กับทุกอุปสรรค ตั้งแต่ตื่นนอนเพื่อเริ่มต้นวันใหม่จนกระทั่งล้มตัวลงนอน เพราะ ‘ทุกสิ่งย่อมเป็นไปได้' และคำว่า ‘เป็นไปไม่ได้' ก็มีแค่ในพจนานุกรมของคนโง่เท่านั้น อาตมาอยากแนะนำให้เรามายิ้มละไมกันทุกๆ วัน เพราะในแต่ละวันจะมีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะทุกข์จะสุขเพียงใด ก็ให้ยิ้มรับกับเรื่องราวนั้นๆ เพราะรอยยิ้มจะนำความสุขมาได้จริงๆ จำไว้ว่า ร่าเริงบันเทิงใจเป็นกำไรของชีวิต วันไหนหงุดหงิดชีวิตจะขาดทุน"
หนังสือ "ยิ้มครั้งแรก โลกแตกก็ยอม" โดย พระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต มีความหนา 192 หน้า ราคา 149 บาท วางจำหน่ายตามร้านหนังสือชั้นนำทั่วประเทศ และร้านดีบุ๊คส์ ชั้น 22 อาคารอัมรินทร์พลาซ่า ถนนเพลินจิต (บีทีเอสชิดลม) นอกจากนี้ยังมีวางจำหน่ายพร้อมโปรโมชั่นพิเศษในงาน "สัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 39" ที่บูธสำนักพิมพ์ดีเอ็มจี G13 ห้องเพลนนารีฮอลล์ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ตั้งแต่วันนี้ถึง 6 เมษายน ศกนี้ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สำนักพิมพ์ดีเอ็มจี โทร 0-2685-2254-5 หรือ www.dmgbooks.com
กด Like เพื่ออัพเดตข่าวสารแบบผู้หญิงๆ ได้มากมายที่นี่!